ที่สุดของชีวิตนิสิตคือการได้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท

ที่สุดของชีวิตนิสิตคือการได้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท


ชีวิตนิสิตวิศวฯ ถือเป็นชีวิตที่มีครบทุกรสชาติ นอกจากห้องเชียร์สุดโหดหรือวีรกรรมสุดเฮี้ยวที่ร่วมทำมาด้วยกันแล้ว อีกหนึ่งความประทับใจที่จัดเป็น “ที่สุดในชีวิต” ของการเป็นนิสิตจุฬาฯ ก็คือการได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร ในวันทรงดนตรี

วันทรงดนตรี มีจุดเริ่มต้นมาจากเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2500 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ประชวรพระครรภ์จะประสูติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอซึ่งตรงกับวันที่พระบามสมเด็จพรปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตรที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พระองค์จึงมีพระราชดำรัสต่อที่ประชุมว่าพระองค์ทรงเสียพระราชหฤทัยมากที่มิได้ประทับอยู่เพื่อเสวย พระสุธารสอย่างที่เคยทำมาทุกปี เพราะสมเด็จพระบรมราชินีนาถกำลังจะมีประสูติกาล ที่ประชุมนิสิตได้พร้อมใจกันถวายพระพรและชื่นชมในพระราชดำรัสนั้นเป็นอันมาก

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอประสูติในค่ำวันนั้น และด้วยเหตุที่ประสูติในวันพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตจุฬาฯ นี่เอง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จึงพระราชทานนามเจ้าฟ้าพระองค์นี้ว่า “จุฬาภรณ์” ยังความปลื้มปีติยินดีมาสู่นิสิตจุฬาฯ อย่างหาที่สุดมิได้ และด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้ คณะนิสิตจากจุฬาฯ จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเข้าเฝ้าฯ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นิสิตจุฬาฯ จำนวน 4,000 คน เข้าเฝ้าฯ ณ เวทีลีลาศ สวนอัมพรในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2500 และเนื่องจากวันนั้นตรงกับวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันที่พระองค์จะทรงดนตรีกับวงลายครามเพื่อออกอากาศทางสถานีวิทยุ อ.ส. พระองค์จึงมีพระราชดำรัสเชิญชวนนิสิตให้ร่วมฟังดนตรีอย่างเป็นกันเองว่า

“ในโอกาสที่ท่านมาชุมนุมกันในวันนี้ พอดีเป็นวันที่มีวงดนตรีของสถานีวิทยุ อ.ส. ซึ่งออกอากาศเป็นประจำทุกวันศุกร์ จึงขอเชิญชวนให้อยู่ฟังด้วย ดนตรีวงนี้เล่นกันเองเลอะ ๆ เทอะ ๆ บางทีควรจะจบก็เล่นต่อไป บางทียังไม่ทันจบก็รีบจบ บางทีมีคนขอเพลงมา ไม่เคยได้ยินก็เปิดแผ่นเสียงให้ฟัง ก็เล่นกันไปได้ เล่นอย่างเป็นกันเอง อย่างที่นายแมนรัตน์นายวงเขาพูดบ่อย ๆ ว่า เป็นกันเองกับผู้ฟังที่ดี วันนี้ขอให้นิสิตเป็นกันเอง ต่อไปนี้ขอแนะนำนายแมนรัตน์ ศรีกรานนท์ นายวงให้ขึ้นมาแนะนำเกี่ยวกับรายการวงดนตรีนี้”

นอกจากนี้พระองค์ยังได้มีรับสั่งกับนายสันทัด ตัณฑนันทน์ หัวหน้าวงดนตรีสากล สโมสรนิสิตจุฬาฯ ในขณะนั้นว่า จะนำวงลายครามมาบรรเลงที่จุฬาฯ จากนั้น “วันทรงดนตรี” จึงเริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จุฬาฯ จึงเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่พระองค์เสด็จฯ มาทรงดนตรี

จากนั้นจุฬาฯ จึงกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรเสด็จพระราชดำเนินมาทรงดนตรีที่หอประชุมจุฬาฯ เป็นประจำทุกปี เว้นปีที่มีพระราชภารกิจมาก หรือเสด็จพระราชดำเนินไปต่างประเทศ และหากไม่มีพระราชภารกิจ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอก็จะโดยเสด็จพระราชดำเนินมาร่วมในการแสดงดนตรีด้วย

บรรยากาศในงานวันทรงดนตรีเป็นไปอย่างคึกคัก มีนิสิตทุกคณะ ทุกชั้นปีมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก บ้างก็มาตั้งแถวรอรับเสด็จยาวตั้งแต่หน้าประตูทางเข้า ไปจนถึงหอประชุมจุฬาฯ บ้างก็รีบไปจับจองที่นั่งในหอประชุมกันแต่เช้า เพราะถ้ามาช้าอาจจะไม่มีแม้แต่ที่ยืน

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร ในวันทรงดนตรี

นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์เป็นคณะเดียวที่ตั้งแถวรับเสด็จและก้มลงกราบถวายบังคมรับและส่งเสด็จ ในขณะที่คณะอื่นยืนรับเสด็จแล้วถวายคำนับ พอขบวนรถพระที่นั่งวิ่งผ่าน พวกเราก็จะก้มลงกราบแล้วก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นเป็นลูกคลื่นอย่างสวยงามและเป็นระเบียบเรียบร้อย

 

ประเพณี หมอบกราบ ทราบกันอยู่

ทุกคนรู้ ทรงเมตตา มหาศาล

ทรงเสด็จฯ จุฬาฯ มานานกาล

มาทรงงาน ทรงดนตรี ที่จุฬาฯ

 

ทรงเสด็จฯ คราใด ได้เข้าเฝ้า

โดยพี่เรา วิศวะ รีบจัดหา

จับจองที่ ตั้งแถวกัน ทันเวลา

เพื่อรักษา ประเพณี อันดีงาม

 

จากใกล้ชิด ติดหอ ประชุมใหญ่

ตั้งแถวไป วนซ้าย ไม่ต้องถาม

สุดสายตา สองข้างทาง อย่างงดงาม

เป็นไปตาม ประเพณี ที่สร้างมา

 

ฝน-ร้อน-หนาว แม้นาน ทนรอได้

ไม่ไปไหน รอพระองค์ ตรงนี้หนา

อีกไม่นาน พระองค์คง เสด็จมา

แทบน้ำตา รินไหล ไปตามกัน

              

รถพระที่นั่ง แล่นมา ผ่านแถวหน้า

เสด็จแล้ว องค์ภูมินทร์ ที่ฉันฝัน

กราบพระองค์ แล้วอยากกราบ อีกทุกวัน

จะตั้งมั่น หมั่นทำดี ถวายพระองค์

 

เข้าหอประชุมไปได้สักพัก ช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง พระบามสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร เสด็จฯ มาถึงหอประชุมจุฬาฯ ในเวลาประมาณบ่าย 2 พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 พระราชโอรส และพระราชธิดา ทั้ง 4 พระองค์ นิสิตทั้งหมดร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีถวายการต้อนรับ ต่อด้วยเพลงมหาจุฬาลงกรณ์ “น้ำใจน้องพี่สีชมพู ทุกคนไม่รู้ลืมบูชา…” ซึ่งปกติก็เป็นเพลงที่ขนลุกซู่ทุกครั้งที่ร้องอยู่แล้ว แต่การได้ร้องต่อหน้าพระพักร์พระผู้ทรงนิพนธ์ ยิ่งทวีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอีกทบเท่าทวีคูณจนยากที่จะบรรยายความรู้สึกขณะนั้นได้ จบเพลงมหาจุฬาลงกรณ์ก็ต่อด้วย Boom จุฬาฯ พร้อมกัน เป็นอันเสร็จพิธีถวายการต้อนรับ

หลังจากนั้นท่านอธิการบดีก็ขึ้นมากราบบังคมทูลสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จากนั้นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จะมีพระราชปฏิสันถารกับนิสิตตามพระราชอัธยาศัย ต่อจากนั้นจะทรงดนตรีร่วมกับวงดนตรี อ.ส. โดยมีเพลงมหาจุฬาลงกรณ์เป็นเพลงเปิดรายการ นักร้องในวง อ.ส. ส่วนใหญ่เป็นนิสิตเก่าจุฬาฯ ยิ่งทำให้พวกเรารู้สึกคุ้นเคยใกล้ชิด เพราะไม่ใช่คนอื่นคนไกล รุ่นพี่เราทั้งนั้น

วันทรงดนตรี

ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงดนตรี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 จะทรงร่วมสนุกกับนิสิต โดยทรงขอเพลงต่าง ๆ จากวงดนตรี บางครั้งโปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ทรงร่วมเป่าแซกโซโฟน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ทรงร้องเพลง และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ทรงเปียโน โดยมีนิสิตปรบมือถวาย

นอกจากจะทรงดนตรีแล้ว พระองค์ยังได้พระราชทานข้อคิดต่าง ๆ แก่นิสิตท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นกันเองนอกจากนี้ภายในงานยังมีการถวายเงินสมทบทุนอานันทมหิดล ซึ่งคณาจารย์และนิสิตจะร่วมกันถวายเงินตามกำลัง แต่เมื่อรวม ๆ กันก็ได้เป็นกอบเป็นกำทุกปี

ในการทรงดนตรีแต่ละครั้ง แม้จะใช้เวลานานถึง 5-6 ชั่วโมง แต่พวกเรากลับไม่รู้สึกว่านานเลย รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเร็วมาก รู้ตัวอีกทีก็ใกล้ถึงเวลาเสด็จฯ กลับแล้ว แม้ไม่อยากให้เวลานั้นมาถึง แต่ก็ไม่อาจหนีความจริงที่ว่า ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกราได้

ก่อนเสด็จฯ กลับ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จะมีพระราชดำรัสอำลาและพระราชทานพรแก่นิสิตทั้งหลาย พวกเราพร้อมใจก้มลงกราบรับพรพระราชทานเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตต่อไป

ระหว่างเก็บเครื่องดนตรี นิสิตทั้งหมดจะร้องเพลงของมหาวิทยาลัย เพลง C.U. polka และ Boom จุฬาฯ ร้องไปเรื่อย ๆ จนถึงเวลาพร้อมเสด็จฯ กลับ เพลงมหาจุฬาลงกรณ์ก็จะดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง พวกเราก็ร้องกันอย่างเต็มเสียง เต็มพลัง เต็มหัวใจ ด้วยความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้ง ครั้นเมื่อทุกพระองค์เสด็จฯ กลับเข้าด้านหลังเวที เพลงสรรเสริญพระบารมีก็ดังขึ้นปิดท้าย แม้อากาศจะร้อนอบอ้าว แต่ด้วยความไพเราะของดนตรีและความประทับใจมากมายที่ได้รับ ทำให้พวกเรามีความสุข สนุกสนานจนลืมสภาพอากาศไปหมดสิ้น

นับเป็นความโชคดีอย่างยิ่งของคนที่ “เกิดเร็ว” ทำให้พวกเราได้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ได้เห็นพระอิริยาบถที่ผ่อนคลาย ได้มีโอกาสที่คนรุ่นหลังไม่มีอีกต่อไปแล้ว เพราะเราเป็นนิสิต 1 ใน 15 รุ่น ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชปรมนาถบพิตร เสด็จฯ มาทรงดนตรีที่จุฬาฯ ซึ่งมีทั้งสิ้น 15 ครั้ง โดยเสด็จฯ มาทรงดนตรีเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2516 เป็นปีสุดท้าย


ที่มา: อินทาเนีย ฉบับที่ 2 ปี พ.ศ. 2568 คอลัมน์เรื่องเล่าชาวอินทาเนีย คัดลอกจากหนังสือ 50 ปี วิศวจุฬาฯ 2511


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เอง โดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save