ESG ≠ CSR 2.0 แต่คือ DNA ของธุรกิจอนาคต ถ้าแค่ “ดี” มัน “พอ” โลกคงไม่วิกฤตขนาดนี้


ลองคิดภาพผู้บริหารในห้องประชุมหรูที่พูดอย่างมั่นใจว่า เราทำ CSR ทุกปี แจกถุงยังชีพเป็นพันถุง ปลูกต้นไม้เกือบหมื่นต้น แต่ขณะเดียวกัน โรงงานของเขาปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำทุกคืน แรงงานถูกกดค่าแรงอย่างไร้ปรานี และการจัดซื้อจัดจ้างเต็มไปด้วยเครือญาติและผลประโยชน์แอบแฝง

เราอยู่ในโลกที่การทำดีถูกบรรจุกล่องสวยหรู แปะตรา CSR แล้วส่งออกเป็นข่าว PR ภาพลักษณ์ดูดีราวกับเป็นวีรบุรุษมากอบกู้โลก แต่ในความเป็นจริงโลกไม่ได้รอดเพราะฉลากแปะกล่อง แต่โลกจะรอดเพราะสายพันธุกรรมใหม่ของธุรกิจที่เรียกว่า ESG

ESG คืออะไร และทำไมมันไม่ใช่เพียง CSR 2.0!

ในโลกธุรกิจยุคเก่า CSR (Corporate Social Responsibility) ถูกมองว่าเป็นภาคเสริมขององค์กร เปรียบเสมือนการสวมเสื้อสูทไปทำบุญในวันหยุดสุดสัปดาห์ เป็นกิจกรรมที่ดี แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลไกภายในของธุรกิจ เช่น การบริจาค การจัดกิจกรรมจิตอาสา หรือการร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่น ซึ่งมักถูกวางไว้ภายใต้ฝ่ายสื่อสารองค์กรหรือฝ่ายประชาสัมพันธ์ (PR)

ในทางตรงกันข้าม ESG (Environmental, Social, and Governance) ไม่ได้เริ่มต้นจากความตั้งใจดี แต่เป็นระบบคิดที่สะท้อนว่า ธุรกิจต้องเติบโตบนความเข้าใจความเสี่ยงรอบด้าน ความคาดหวังของสังคม และกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ ที่กำลังมารอบตัวเรา

หากพิจารณาให้ลึกลงไปในระดับโครงสร้าง จะพบว่า ESG ไม่ได้เป็นเพียงการขยับตำแหน่งของฝ่ายกิจกรรมเพื่อสังคมให้สูงขึ้น แต่คือการปรับโครงสร้างวิธีคิดธุรกิจใหม่ทั้งหมด โดยเปลี่ยนจากการคิดบนพื้นฐานของภาพลักษณ์ ไปสู่การออกแบบธุรกิจบนฐานของความรับผิดชอบอย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่ระดับคณะกรรมการบริษัทลงมาจนถึงหน้างานปฏิบัติการ

ESG นั้นจะต้องเริ่มต้นจากโต๊ะประชุมผู้บริหาร ที่ต้องมาดูว่าทำไมโลกถึงยังต้องการองค์กรของตนนำมาสร้างวิสัยทัศน์ที่มีพลัง เพื่อกำหนดเกณฑ์การลงทุนและการบริหารงานตั้งแต่ภายในและแผ่ซึมลึกไปถึง Supply Chain เป็นการฝังตัวอยู่ตั้งแต่กระดูกสันหลังขององค์กรไปจนถึงผิวพรรณที่ห่อหุ้ม เป็นหลักคิดตั้งต้นที่ถามทุกฝ่ายในองค์กรว่า “สิ่งที่คุณกำลังทำ กระทบกับใคร และอย่างไร?”

จากเดิมที่ CSR มักใช้เป้าหมายเชิงมนุษยธรรมเป็นที่ตั้ง เช่น เราจะช่วยเหลือชุมชนอย่างไร ขณะที่ ESG จะถามในมิติที่ซับซ้อนกว่า เช่น ผลกระทบเชิงลบจากการทำธุรกิจของเราต่อชุมชนคืออะไร และเราจะทำให้มันดีขึ้นอย่างยั่งยืนได้อย่างไร ซึ่งคำถามนี้ไม่สามารถตอบได้ด้วยการบริจาค แต่ต้องใช้การปรับเปลี่ยนกระบวนการดำเนินงาน การออกแบบผลิตภัณฑ์ และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์

ระดับความรับผิดชอบจึงถูกยกระดับจากความสมัครใจ สู่ข้อบังคับเชิงระบบอย่างชัดเจน ในอดีต CSR เป็นเรื่องทำหรือไม่ทำก็ได้ ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของผู้บริหาร แต่ ESG ในยุคปัจจุบันกำลังกลายเป็นเงื่อนไขบังคับในระดับสากล เช่น มาตรฐาน GRI, SASB, CSRD, TCFD, ISSB หรือแม้กระทั่งเงื่อนไขของกองทุนลงทุน (ESG Funds) ที่จะไม่ลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีแผนการจัดการด้าน ESG ที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ ซึ่งทำให้องค์กรที่มอง ESG เป็นเพียงภาพลักษณ์จะเริ่มตกขบวน และสูญเสียทั้งโอกาสทางการเงินและชื่อเสียงในระดับโลก

อีกมุมที่ควรเน้นคือ ตำแหน่งของ ESG ภายในองค์กร ซึ่งสะท้อนจุดยืนของผู้บริหารต่อประเด็นความยั่งยืนอย่างแท้จริง ในองค์กรที่ยังมีแนวคิดแบบเก่า ESG อาจถูกกำกับอยู่ในระดับหัวหน้าโครงการ หรือแม้แต่รองประธานฝ่ายบริหารความเสี่ยง แต่ในองค์กรที่เปลี่ยนผ่านอย่างแท้จริง ESG จะกลายเป็นประเด็นของ CEO และอยู่ในระดับคณะกรรมการบริษัท (Board-level Agenda) ซึ่งต้องมีระบบการรายงาน การติดตาม และการกำกับดูแลที่เทียบเท่ากับผลประกอบการทางการเงินขององค์กร

กล่าวโดยสรุป ESG ในมุมโครงสร้าง จึงไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนชื่อฝ่าย CSR ให้ดูเท่ขึ้น หรือเพิ่ม KPI ด้านสิ่งแวดล้อมในรายงานประจำปี แต่คือการยกระดับความรับผิดชอบขององค์กร จากระดับปฏิบัติการสู่ระดับกลยุทธ์ จากระดับการสื่อสารสู่ระดับการตัดสินใจ และจากระดับการบริจาคสู่ระดับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจ

ธุรกิจที่ทำ CSR อาจดูดี แต่ธุรกิจที่มี ESG ฝังอยู่ในแก่นแท้ขององค์กรคือดีจริง

E – Environmental (สิ่งแวดล้อม): จึงไม่ใช่แค่ปลูกต้นไม้ในวันสิ่งแวดล้อมโลก แต่ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบด้านอื่น ๆ เช่น

  • Climate Change: การวิเคราะห์ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ตามกรอบ TCFD) ว่าจะกระทบต่อ Supply Chain หรือค่าใช้จ่ายทางธุรกิจอย่างไร
  • GHG Emissions: การวัดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ (ทั้ง Scope 1, 2 และ 3) และวางเป้าหมาย Net Zero อย่างเป็นรูปธรรม
  • Resource Efficiency: การใช้ทรัพยากร เช่น น้ำ พลังงาน วัตถุดิบ อย่างมีประสิทธิภาพ
  • Circular Economy: การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ลดขยะ และปิดวงจรการใช้

S – Social (สังคม): ไม่ใช่เพียงบริจาค แต่คือการเคารพความเป็นมนุษย์ในระบบธุรกิจ คือการตอบคำถามว่า ธุรกิจของเราสร้างผลกระทบต่อคนอื่นอย่างไร เช่น

  • Human Rights & Labor: สิทธิแรงงาน ค่าแรงที่เป็นธรรม การป้องกันการใช้แรงงานเด็ก/แรงงานบังคับ
  • Diversity, Equity, Inclusion (DEI): การส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ ชาติพันธุ์ ความสามารถ และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง
  • Occupational Health & Safety: การป้องกันอุบัติเหตุ สุขภาพจิต และสวัสดิการที่ดูแลพนักงานอย่างครบถ้วน
  • Community Impact: การทำธุรกิจอย่างรับผิดชอบกับชุมชนท้องถิ่น ไม่เอาเปรียบ ไม่ทำลายวัฒนธรรมท้องถิ่น

G – Governance (ธรรมาภิบาล): ไม่ใช่แค่ตั้งบอร์ด แต่คือการสร้างระบบตัดสินใจที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ เช่น

  • Board Independence: มีคณะกรรมการอิสระที่สามารถตรวจสอบและท้าทายผู้บริหารได้
  • Anti-Corruption: มีระบบป้องกันการทุจริต เช่น Whistleblower System, Supplier Audit
  • Executive Compensation: การจ่ายค่าตอบแทนผู้บริหารต้องสะท้อนผล ESG ไม่ใช่เพียงกำไร
  • Data Transparency: รายงานผล ESG อย่างเปิดเผยและเที่ยงตรง ตามมาตรฐาน GRI, SASB, CSRD หรือ TCFD

ESG ที่แท้จริงจึงไม่ใช่เพียงการทำรายงานส่งตลาดหลักทรัพย์ แต่คือการตั้งคำถามใหม่กับธุรกิจของเรา เช่น

  • เราใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนจริงไหม
  • กระบวนการผลิตของเราลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร
  • แรงงานของเรามีคุณภาพชีวิตที่ดีพอหรือยัง
  • กระบวนการตัดสินใจของผู้บริหารมีคนตรวจสอบไหม
  • ผู้ถือหุ้นไม่ได้เป็นทุกอย่าง ผู้มีส่วนได้เสียคือใครบ้าง

เมื่อธุรกิจสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ชัดเจน และฝังสิ่งเหล่านี้ในกลไกภายใน นั่นคือทางรอดทางเดียวของโลกธุรกิจวันนี้


ที่มา: อินทาเนีย ฉบับที่ 3 ปี พ.ศ. 2568 คอลัมน์ ข้อคิดจากนิสิตเก่า โดย ดร.วีรณัฐ โรจนประภา (ดร.ใหม่) วศ.28 ESG / SDGs Business Consultant