ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ จากความเข้าใจในเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของผู้ใช้งาน รวมทั้งยังตอบโจทย์ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เพราะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดน้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตไปจนถึงตอนใช้งาน และยังเป็นเหตุผลที่ทำให้ ดร.ยรรยง ได้ทำการทดลองดัดแปลงรถยนต์สันดาปภายในประจำตระกูลที่มีความเก่าแก่ให้กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้า และที่สำคัญการทดลองดัดแปลงครั้งนี้ยังทำให้ได้รู้จักเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยของรถ EV และยังสามารถเป็นแนวคิดให้อุตสาหกรรมผู้ผลิตชิ้นส่วนยยานยนต์สามารถนำไปเป็นต้นแบบเพื่อผลักดันธุรกิจของตัวเองไปสู่เทคโนโลยีสมัยใหม่ให้รองรับรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตได้
จุดเริ่มต้นในการดัดแปลง “รถน้ำมัน” เป็น “รถ EV”
อาจารย์ ดร.ยรรยง เต็งอำนวย กล่าวว่า เหตุผลที่ตนนำรถยนต์ตัวเองดัดแปลงเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเนื่องจากรถที่ใช้อยู่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานถึง 33 ปี เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวมานาน และเสื่อมสภาพไปตามการใช้งาน ซึ่งก่อนหน้าได้มีการซ่อมและบำรุงรักษามาหลายครั้ง รวมไปถึงอยากเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดโลกร้อน และเห็นอู่แถวบ้านมีการดัดแปลงให้เป็นรถไฟฟ้าจึงรู้สึกชอบ และได้คุยรายละเอียดกับเจ้าของอู่ จากนั้นได้นำรถ Mitsubishi Galant ปี 1990 ของตนที่ใช้งานอยู่ไปดัดแปลงเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ 350,000 บาท คันนี้ถือว่าเป็นรถประจำตระกูล จึงรู้สึกเสียดายเพราะหากขายไปก็ไม่คุ้ม ซึ่งผ่านการใช้งานมาเพียง 200,000 กิโลเมตร จึงคิดว่าหากนำไปดัดแปลงน่าจะมีความคุ้มค่ามากกว่า
สำหรับชิ้นส่วนที่เราได้เปลี่ยนจะเป็นเรื่องระบบน้ำมันทั้งหมด ตั้งแต่เครื่องยนต์ ถังน้ำมัน ปั้มติ๊ก ปั๊มน้ำมัน หม้อน้ำระบายความร้อน และระบบที่พึ่งพากำลังจากเครื่องยนต์ ต้องตัดแปลง ระบบพวงมาลัยเพาวเวอร์ คอมเพรสเซอร์แอร์ หม้อลมเบรก เกียร์อัตโนมัติ แบตเตอรี่ชุดใหม่และมอเตอร์เข้ามาแทนเครื่องยนต์ มีระบบแปลงไฟบ้าน 220 VAC ให้เป็น 144 VDC เพื่อป้อนแบตชุดใหม่ ไฟแรงสูงนี้ใช้ขับมอเตอร์สำหรับขับเคลื่อนรถยนต์ หมุนคอมเพรสเซอร์แอร์ที่ต้องเปลี่ยนเป็นแบบไฟฟ้า จ่ายปั้มลมหม้อลมเบรก และผ่านตัวแปลงไฟ DC-to-DC จาก 144 V ไปเป็น 12V เพื่อชาร์จแบตเตอรี่และจ่ายไฟให้ระบบไฟฟ้าเดิมของรถ แต่ระบบไฟของเดิม 12 VDC ไม่เปลี่ยน ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเบรก ไฟเลี้ยว ไฟเก๋ง กระจกไฟฟ้า วิทยุ พัดลมระบายความเย็นของแอร์ นาฬิกา แตร ซึ่งเราพยายามคงสภาพโดยรวมของรถไว้นอกจากระบบน้ำมัน ซึ่งรถมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาประมาณ 50 กิโลกรัม
ค่าใช้จ่ายในการดัดแปลงรถ
ชิ้นส่วนที่ราคาแพงที่สุดคือ แบตเตอรี่ ซึ่งราคาสูงเกือบ 150,000 บาท เป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนรุ่นเก่ามือสอง คนที่ดัดแปลงรถให้มีการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคุณภาพยังอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้และมีอายุการใช้งานประมาณ 10 ปี ซึ่งราคาแบตเตอรี่ใหม่ประมาณ 300,000 บาทขึ้นไป แบตเตอรี่รุ่นปัจจุบันที่ใช้กันโดยทั่วไปในรถยนต์ไฟฟ้าคือ แบตเตอรี่ NMC และรุ่นใหม่ คือ LFP ซึ่งจะมีราคาสูงขึ้นไปอีก หวังว่าทางภาครัฐจะเข้ามาช่วยในเรื่องของภาษีในอนาคต รองลงมา คือ ตัวควบคุมมอเตอร์ 2 ตัว ราคาประมาณ 70,000 บาท
การใช้งาน
สำหรับค่าใช้จ่ายในการขับขี่ ปัจจุบันใช้มาแล้วประมาณ 1,200 กิโลเมตร ค่าไฟอยู่ที่ 1.18 บาทต่อกิโลเมตร เปรียบเทียบกับค่าน้ำมัน 6.06 บาทต่อกิโลเมตร ซึ่งประหยัดไป 1-2 เท่า โดยประมาณ ระยะทางหากรถไม่ติดสามารถวิ่งได้ประมาณ 200 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และหากวิ่งในเมืองแบบรถติดจะวิ่งได้ประมาณ 150 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง สำหรับการเดินทางต้องแพลนก่อนว่าจะเดินทางไปไหน ระยะทางเท่าไหร่ เพราะเราจะไม่มีการจอดชาร์จรถนอกบ้าน แผนเราจะชาร์จที่บ้านเท่านั้น เพราะรถที่ดัดแปลงเป็นระบบไฟฟ้าเก่าไม่มี Fast Charge แบบ DC ไช้การชาร์จไฟบ้าน 220 VAC และกำลังต่ำเพียง 3 กิโลวัตต์ จึงใช้เวลาชาร์จเต็มที่ 10 ชั่วโมง แบตเตอรี่มีกำลังไฟ 34 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งตามเกณฑ์จะวิ่งทางโกลได้ 7 กิโลเมตรต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง หรือ 5 กิโลเมตรในเมือง โดยประมาณ สำหรับการชาร์จขั้นต่ำอยู่ที่ 10% รถจึงจะสามารถใช้งานได้ ถ้าต่ำกว่านั้นระบบจะ Shut Down ตัวเอง
ปัจจุบันจุดชาร์จยังน้อยอยู่ แต่เริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งเรายังไม่กล้าเข้าไปใช้บริการ เพราะอยู่ในช่วงเก็บสถิติ จึงต้องกลับมาชาร์จที่บ้านและจดตัวเลขต่าง ๆ ไว้ เพราะหากไปชาร์จที่อื่นจะมีปัญหากับการเก็บสถิติ สักระยะหนึ่งหากใช้งานแล้วประมาณ 2,000 กิโล จะเลิกจดสถิติและเริ่มออกไปชาร์จตามจุดต่าง ๆ ที่มีให้บริการ
การบำรุงรักษา
รถไฟฟ้าที่ใช้มอเตอร์รุ่นใหม่ ๆ ดีมาก อัตราเร่งดี ได้เปรียบตรงที่ไม่เปลี่ยนเกียร์ ซึ่งรถไฟฟ้าที่เราดัดแปลงแต่เดิมเป็นเกียร์อัตโนมัติซึ่งมีปัญหาเพราะต้องไปปั้มน้ำมันขึ้นมาหล่อลื่น แต่ตอนนี้ได้ถอดเครื่องยนต์ออกแล้ว และได้ยกเกียร์ออกไปด้วย ซึ่งใส่เกียร์ Manual แทน และตรึงไว้ที่เกียร์ 3 ตัวมอเตอร์จะมีกำลังมากพอที่จะฉุดรถตั้งแต่ 0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จนกระทั่ง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งถ้าขับเร็วกว่านั้นมอเตอร์จะหมุนไม่ไหว สำหรับเรื่องเบรกส่วนเป็นปกติ เพราะใช้ระบบเดิม มีเพิ่มเติมคือเมื่อแตะเบรกจะมี Regenerative คือ มอเตอร์ขับเคลื่อนจะเปลี่ยนเป็นปั่นไฟคืนมา
สำหรับค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาจากการดัดแปลงในส่วนของเครื่องยนต์ยังไม่มีการบำรุงรักษา จะมีในส่วนของมอเตอร์ขับเคลื่อนเพราะเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า เปรียบเหมือนพัดลมตามบ้านเรา ไม่ต้องทำอะไรเลยเพียงแค่นำออกมาปัดฝุ่น ทำความสะอาด ซึ่งส่วนตัวผมเองก็ไม่ใช่คนที่ใช้งานรถหนัก คิดว่าไม่ต้องบำรุงรักษาในระยะเวลา 4-5 ปีแรก แต่จะมีในส่วนของช่วงล่างที่เหมือนรถทั่วไป และตอนที่เราไปเปลี่ยนทะเบียนกับกรมการขนส่ง เราต้องจดทะเบียนรถใหม่เป็นรถที่ใช้เชื้อเพลิงเป็นไฟฟ้า ซึ่งช่างที่ดัดแปลงพยายามจะคงสภาพเดิมของรถให้มากที่สุด ซึ่งน้ำหนักต่าง ๆ จะไม่เปลี่ยนมาก
“สิ่งสำคัญคือ เมื่อดัดแปลงเป็นรถไฟฟ้าแล้ว ไม่มีไอเสีย ไม่มีมลภาวะ สิ่งหนึ่งที่ทำได้ คือ เวลาจอดรถนาน ๆ ไม่ต้องดับเครื่อง สามารถเปิดแอร์ได้สบาย ไม่มีควันจากไอเสีย รบกวนคนรอบข้าง”
ข้อคิดสำหรับคนที่คิดจะดัดแปลง “รถน้ำมัน” เป็น “รถ EV”
จากประสบการณ์ส่วนตัว ช่างและอู่ที่ใช้ไม่ได้ทำด้านนี้เป็นหลัก แต่เจ้าของอู่สนใจเรื่องเทคนิค ติดตามข่าวสารและดัดแปลงรถเก่าไว้ใช้เอง มีความตั้งใจและละเอียดรอบคอบมากในทุก ๆ ส่วน การดัดแปลงรถคันนี้จึงเหมือนเป็นงานทดลองหรืองานวิจัยมากกว่าจะเป็นงานการดัดแปลงทั่วไป ผลงานจึงออกมาเป็นที่พอใจมากแม้จะมีจุดบกพร่องอยู่บ้าง แต่อยู่ในระดับเทคโนโลยีและราคานี้ถือว่ายอมรับได้
หากมีกำลังซื้อมากพอ แนะนำให้ซื้อรถ EV รุ่นใหม่ที่มีอยู่ในท้องตลาด และสำหรับการจดทะเบียนจากรถน้ำมันให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้มีความยุ่งยาก ซึ่งผมได้ไปจดทะเบียนที่กรมการขนส่งทางบก หลังจากเอกสารทุกอย่างเรียบร้อย (1) ต้องได้ใบวิศวกรรมเกี่ยวกับประสิทธิภาพว่ารถวิ่งได้เร็วไหม ต้องนำไปขึ้นสายพานดูว่ารถเราวิ่งได้เร็วแค่ไหน ซึ่งเขาจะตั้งไว้ที่ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (2) ระบบเครื่องกล วิศวกรเครื่องกลก็จะมาตรวจดูว่าการจัดวางต่าง ๆ มีความแข็งแรงไหม (3) ระบบไฟฟ้า วิศวกรไฟฟ้าก็จะมาดูว่าระบบไฟว่าเป็นอย่างไร ซึ่งจะใช้เอกสาร 3 อย่างนี้เป็นหลัก และมีเรื่องของมอเตอร์ เพราะเรามองว่ามอเตอร์ขับเคลื่อนเทียบเท่ากับมอเตอร์เครื่องยนต์รถยนต์ ถือว่าเป็นสินทรัพย์สำคัญที่จะต้องมีใบเสร็จแสดงยืนยัน วึ่งเราจะนำไปให้กรมการขนส่งทางบก ซึ่งใบวิศวกรราม 3 ใบนี้ใบละ 5,000 บาท รวม 15,000 บาท