การจัดการขยะติดเชื้อ

“ขยะติดเชื้อ” ภัยเงียบ…แต่ผลกระทบดัง


บทความจากคณะ
ดร.ทักษิณา โพธิ์ใหญ่
นักวิจัยหลังปริญญาเอก ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ศ. ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล
รองคณบดีด้านยุทธศาสตร์นวัตกรรมและความยั่งยืน คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


สถานการณ์ขยะติดเชื้อในประเทศไทย

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในประเทศไทย ได้กินระยะเวลายาวนานมานับตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2563 ส่งผลให้ปริมาณขยะมูลฝอยชุมชนในปี พ.ศ. 2563 (27.35 ล้านตัน) ลดลงจากปี พ.ศ. 2562 มากกว่า 1 ล้านตัน เนื่องจากภาครัฐได้ออกมาตรการควบคุมการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางของนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศไทย การทำงานที่บ้าน (Work From Home) หรือการล๊อกดาวน์ (Lockdown) ในหลาย ๆ พื้นที่ แต่ในขณะที่ปริมาณขยะมูลฝอยโดยรวมลดลง มีสิ่งที่น่าเป็นกังวลซึ่งมาพร้อมกับโรคระบาดในครั้งนี้ นั่นก็คือ การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของปริมาณขยะติดเชื้อ (Infectious Waste) ซึ่งถูกจัดเป็นวัตถุอันตรายตาม พรบ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และจะต้องถูกกำจัดโดยวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วยการกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ พ.ศ. 2545 ได้แก่ การเผาในเตาเผา การทำลายเชื้อด้วยไอน้ำ การทำลายเชื้อด้วยความร้อน และวิธีอื่นตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ขยะติดเชื้อที่เกิดขึ้นจากสถานบริการการสาธารณสุข (โรงพยาบาล คลินิก สถานพยาบาลสัตว์ ห้องปฏิบัติการเชื้ออันตราย ทั้งของรัฐและเอกชน) อาจถูกจัดการโดยกระบวนการบำบัดมูลฝอยติดเชื้อ ณ แหล่งกำเนิด (On-site) หรือนอกสถานบริการ (Off-site) ขึ้นอยู่กับปริมาณและคุณลักษณะของมูลฝอยติดเชื้อที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ กรณีที่สถานพยาบาลว่าจ้างบุคคลหรือเอกชนในการดำเนินการเก็บขนและทำลายมูลฝอยติดเชื้อด้วยการเผาในเตาเผามูลฝอยติดเชื้อ ผู้รับจ้างหรือบริษัทเอกชนนั้น ๆ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่สถานพยาบาลและสถานที่กำจัดมูลฝอยตั้งอยู่ พร้อมทั้งได้รับการขึ้นทะเบียนตาม พรบ.โรงงาน พ.ศ. 2535 ว่าเป็นโรงงานประเภทลำดับที่ 101 ซึ่งเป็นโรงงานปรับคุณภาพของเสียรวม (Central Waste Treatment) โดยใช้เตาเผาเฉพาะหรือเตาเผาร่วมเพื่อบำบัดของเสียด้วยความร้อนเพื่อทำลายมลพิษและลดความเป็นอันตรายของสารบางอย่าง และมีระบบบำบัดมลพิษอากาศและจัดการเถ้าที่เกิดขึ้นให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากเตาเผามูลฝอยติดเชื้อ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช้วิธีการเจือจาง (Dilution)

กรุงเทพมหานครเป็นหนึ่งในพื้นที่ควบคุมสูงสุดตามคำสั่ง ศบค.ที่ 1/2564 และมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาพร้อมกับปริมาณขยะติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมหาศาล ในช่วงปกติกรุงเทพมหานครมีขยะติดเชื้อเกิดขึ้นประมาณ 43 ตันต่อวัน และสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครมีขยะติดเชื้อเกิดขึ้นเฉลี่ย 63 ตันต่อวัน โดย 46 ตันเป็นมูลฝอยติดเชื้อทั่วไปจากสถานพยาบาลต่าง ๆ และอีก 17 ตันเป็นมูลฝอยติดเชื้อโควิด ซึ่งส่วนมากเกิดจากโรงพยาบาล (2.85 กิโลกรัมต่อเตียงต่อวัน) โรงพยาบาลสนาม (1.82 กิโลกรัมต่อเตียงต่อวัน) และการกักตัวที่บ้าน (1.32 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน) นอกจากนี้ ข้อมูลเดือนสิงหาคม 2564 ในช่วงที่มีผู้ติดเชื้อทะลุ 2 หมื่นรายต่อวัน ได้ทำให้มีขยะติดเชื้อในช่วงดังกล่าวเกิดขึ้นมากกว่า 120 ตันต่อวัน ขยะติดเชื้อในกรุงเทพมหานครมีบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด เป็นผู้รับผิดชอบในการเก็บขนและกำจัดโดยใช้เตาเผามูลฝอยติดเชื้อที่ตั้งอยู่บริเวณศูนย์กำจัดขยะหนองแขมและอ่อนนุช กระบวนการเผามูลฝอยติดเชื้อเกิดขึ้น 2 ขั้น ได้แก่ 1) การเผาทำลายเชื้อโรคที่อุณหภูมิ 760°C และ 2) การเผากำจัดก๊าซพิษที่หลงเหลือจากการเผาขั้นแรกที่อุณหภูมิ 1,000°C พร้อมกับมีระบบบำบัดมลพิษอากาศให้ได้ตามมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากเตาเผามูลฝอยติดเชื้อ แต่ข้อจำกัดที่เกิดขึ้นในขณะนี้ คือ ระบบเตาเผามูลฝอยติดเชื้อที่กำลังดำเนินการอยู่มีขีดความสามารถการเผาสูงสุดเพียงแค่ 70 ตันต่อวันเท่านั้น และในขณะเดียวกัน พื้นที่อื่น ๆ ของประเทศก็เริ่มมีปริมาณขยะติดเชื้อต่อวันเพิ่มขึ้นสูงเกินกว่าศักยภาพของระบบเตาเผามูลฝอยติดเชื้อที่มีอยู่ ซึ่งประกอบไปด้วยเตาเผาของท้องถิ่นและเอกชนรวมกันมากกว่า 10 แห่ง รวมไปถึงเตาเผาของโรงพยาบาลต่าง ๆ ประมาณ 170 แห่ง จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะต้องหาแนวทางหรือมาตรการที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพการกำจัดมูลฝอยติดเชื้อของประเทศ มิเช่นนั้น ขยะติดเชื้อเหล่านี้จะไม่ได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและนำไปสู่การตกค้างสะสมของขยะติดเชื้อในพื้นที่หลายแห่งของประเทศไทย ซึ่งมีการคาดการณ์แล้วว่าในเดือนสิงหาคม 2564 จะมีขยะติดเชื้อตกค้างทั่วประเทศมากกว่า 50 ตันต่อวัน

ภาพรวมกระบวนการทำงานของเตาเผามูลฝอยติดเชื้อกรุงเทพมหานคร

หน้ากากอนามัย…ขยะติดเชื้อที่กำลังล้นโลก

หน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้ง (Disposable mask) เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment หรือ PPE) ที่คนไทยใช้มากถึง 1.5 – 2 ล้านชิ้นต่อวัน ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 หน้ากากอนามัยเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อปริมาณขยะติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นและต้องถูกจัดการด้วยการเผาเช่นเดียวกับขยะติดเชื้อประเภทอื่น ๆ หน้ากากอนามัยชนิดนี้ผลิตจากเส้นใยสังเคราะห์หรือพอลิเมอร์ (Polymer) ซึ่งส่วนมากหน้ากากชั้นนอกจะผลิตจากพลาสติกพอลิโพรพิลีน (Polypropylene หรือ PP) และหน้ากากชั้นในจะผลิตจากพลาสติกพอลิเอทิลีนชนิดความหนาแน่นสูง (High Density Polyethylene หรือ HDPE) โดยมีผลการวิจัยออกมายืนยันว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถมีชีวิตอยู่บนหน้ากากอนามัยที่ผลิตจากพลาสติกได้นานถึง 7 วัน นอกจากนี้ หน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้งยังสามารถสลายตัวเกิดเป็นไมโครพลาสติก (Microplastic) และปนเปื้อนในห่วงโซ่อาหารได้ ดังนั้น หากหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้วไม่ได้ถูกทิ้งและจัดการอย่างเหมาะสม ขยะติดเชื้อเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะเป็นแหล่งแพร่กระจายของเชื้อโรค แต่ยังเป็นผู้ร้ายที่จะทำลายสิ่งแวดล้อมในระยะยาวโดยเฉพาะระบบนิเวศทางทะเล ซึ่งมีผลคาดการณ์ในปี 2563 ว่าหน้ากากอนามัยใช้แล้วเกือบ 1.6 พันล้านชิ้นได้หลุดลอดลงสู่ทะเลและมหาสมุทร

แนวทางปฏิบัติสำหรับภาคประชาชน

1. การเลือกใช้หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า

การสวมใส่หน้ากากอนามัยเป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันการแพร่กระจายของสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยและช่วยลดความเสี่ยงของประชาชนที่จะรับเอาเชื้อโควิด-19 เข้าสู่ร่างกาย หน้ากากสองชนิดที่เรารู้จักกันดี คือ หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ (Medical Mask หรือ Surgical Mask) ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และผ่านการทดสอบด้วยเกณฑ์มาตรฐาน เช่น ASTM F2100 ของสหรัฐอเมริกา หน้ากากชนิดนี้มีอายุการใช้งานโดยเฉลี่ย 6-8 ชั่วโมง และเป็นหน้ากากแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง หน้ากากชนิดที่สองคือ หน้ากากผ้า (Fabric Mask) ซึ่งอาจทำจากผ้าฝ้ายหรือผ้าสาลูเนื้อแน่น มีการเย็บซ้อนกันอย่างน้อย 3 ชั้น และสามารถซักเพื่อใส่ซ้ำได้หลายครั้ง

บุคคลทั่วไปอาจเลือกใส่หน้ากากผ้าในชีวิตประจำวันหรือเมื่อไม่ได้อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ทั้งนี้เพื่อช่วยป้องกันเชื้อโรคและช่วยลดอัตราการเพิ่มขึ้นของขยะติดเชื้อที่เกิดจากหน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้ง ในขณะที่กลุ่มเสี่ยงหรือผู้ป่วยติดเชื้อควรเลือกใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานเท่านั้น จึงจะสามารถป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้หากผู้ป่วยมีการไอหรือจาม แต่อย่างไรก็ตาม การใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยเพียงชั้นเดียวจะสามารถป้องกันการติดเชื้อได้เพียง 44–55% ดังนั้น หากเรามีความจำเป็นต้องเข้าไปยังบริเวณพื้นที่เสี่ยง การใส่หน้ากาก 2 ชั้นอาจทำให้การป้องกันเชื้อมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งมีผลการวิจัยยืนยันแล้วว่าการใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยทับกัน 2 ชั้นสามารถป้องกันเชื้อให้ผู้สวมใส่ได้มากขึ้นประมาณ 10% แต่การใส่หน้ากากประเภทเดียวทับกัน 2 ชั้นก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของช่องว่างระหว่างหน้ากากและใบหน้ารวมไปถึงการหายใจที่ยากลำบาก ดังนั้น ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (CDC) จึงได้มีคำแนะนำให้ประชาชนใส่หน้ากาก 2 ชั้น โดยด้านในเป็นหน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้งและด้านนอกเป็นหน้ากากผ้าที่มีความกระชับแนบกับใบหน้า การปฏิบัติเช่นนี้จะทำให้ผู้สวมใส่หน้ากากสามารถป้องกันตนเองจากเชื้อโรคได้มากถึง 80% และในกรณีที่ทั้งผู้ติดเชื้อและผู้ใกล้ชิดมีการสวมใส่หน้ากาก 2 ชั้น ก็จะทำให้สามารถลดการติดเชื้อได้มากถึง 96% เลยทีเดียว

การใส่หน้ากากอนามัย 2 ชั้น
การใส่หน้ากากอนามัย 2 ชั้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันเชื้อ (หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ด้านใน + หน้ากากผ้าด้านนอก) (ดัดแปลงรูปจาก https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/prevent-getting-sick/mask-fit-and-filtration.html)

หน้ากากผ้า

ถังขยะสีแดงสำหรับมูลฝอยติดเชื้อ

ถังขยะสีแดงสำหรับมูลฝอยติดเชื้อ
รูปจาก https://pbs.twimg.com/media/EU2vw6zUMAER4qZ.jpg

ถังขยะสีส้มสำหรับหน้ากากอนามัย

ถังขยะสีส้มสำหรับหน้ากากอนามัย
รูปจาก https://www.naewna.com/uploads/news/source/544854.jpg

2. การทิ้งหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า

ประชาชนควรแยกหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้วออกจากขยะมูลฝอยประเภทอื่น เช่น ขยะอาหารและขยะรีไซเคิลโดยเฉพาะขยะพลาสติก ซึ่งเป็นการช่วยลดความชื้นและลดปริมาตรของขยะติดเชื้อที่จะต้องนำเข้าสู่ระบบเตาเผา อีกทั้งยังทำให้การเผามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย

  • บุคคลทั่วไป สามารถรวบรวมหน้ากากอนามัยใช้แล้วใส่ลงในถุงพลาสติกที่ไม่มีรอยรั่วและไม่ฉีกขาดได้ง่าย พร้อมทั้งมัดปากถุงให้สนิทและเขียนป้ายติดกำกับหน้าถุงให้ชัดเจนว่า “ขยะติดเชื้อ” หรือ “หน้ากากอนามัย” จากนั้นนำถุงไปทิ้งตามจุดต่าง ๆ เช่น
    • รถเก็บขนมูลฝอยของสำนักงานเขตหรือจุดเก็บรวบรวมขยะในชุมชน
    • ถังขยะสีแดงที่จัดเตรียมไว้สำหรับขยะติดเชื้อ
    • ถังขยะสีส้มที่จัดเตรียมไว้สำหรับใส่หน้ากากอนามัยใช้แล้วโดยเฉพาะ (พื้นที่กรุงเทพมหานคร)

ข้อควรระวัง ประชาชนบางส่วนมีการรวบรวมหน้ากากอนามัยใช้แล้วใส่ลงในขวดพลาสติก PET หรือขวดน้ำดื่ม โดยมีความเข้าใจว่าจะช่วยให้สามารถจัดการขยะเหล่านี้ได้ง่ายและปลอดภัยต่อพนักงานเก็บขนขยะ แต่ความเป็นจริงแล้ว การทิ้งหน้ากากอนามัยลงในขวดพลาสติกอาจก่อให้เกิดปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากขวดพลาสติกเหล่านี้จะต้องถูกเผาไปพร้อมกับหน้ากากอนามัยหรือขยะติดเชื้ออื่น ๆ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงเรื่องการแพร่กระจายของเชื้อโรคหากพนักงานเก็บขนขยะมีการนำหน้ากากอนามัยออกมาเพื่อนำขวดพลาสติกไปขายต่อ ดังนั้น ทางกรมควบคุมมลพิษจึงได้ขอความร่วมมือให้ประชาชนคัดแยกหน้ากากอนามัยและทิ้งให้ถูกวิธี เพื่อลดความเสี่ยงต่อทั้งพนักงานเก็บขนขยะและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังช่วยให้ขวดพลาสติกสามารถกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้เต็มประสิทธิภาพ

วิธีทิ้งหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้ว

  • กลุ่มเสี่ยงหรือผู้ติดเชื้อที่กักตัวที่บ้าน (Home Isolation) จะต้องนำขยะติดเชื้อหรือหน้ากากอนามัยใช้แล้วใส่ถุงสีแดงสองชั้น โดยถุงชั้นในจะต้องมีการราดน้ำยาฆ่าเชื้อ (เช่น โซเดียมไฮโปคลอไรท์ 0.5% หรือแอลกอฮอล์เข้มข้น 70%) ก่อนมัดถุงให้แน่นแล้วพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่บริเวณปากถุง จากนั้นนำถุงที่ผ่านการฆ่าเชื้อเรียบร้อยแล้วใส่ลงในถุงอีกชั้นหนึ่งที่ปิดมิดชิด มัดปากถุงให้สนิท และฉีดพ่นบริเวณถุงด้วยน้ำยาฆ่าเชื้ออีกครั้ง แล้วรอให้เจ้าหน้าที่เฉพาะกิจมารับขยะติดเชื้อที่บ้านเพื่อนำไปจัดการต่อ

แนวทางปฏิบัติสำหรับภาครัฐและภาคเอกชน

1. เพิ่มจุดวางถังขยะติดเชื้อให้มีความคลอบคลุมพื้นที่ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะบริเวณที่พักอาศัย เช่น หมู่บ้าน หอพัก อพาร์ทเม้นต์ คอนโดมิเนียม เพื่อให้ประชาชนสามารถนำหน้ากากอนามัยใช้แล้วหรือขยะติดเชื้อประเภทอื่น ๆ มาทิ้งได้สะดวก และให้เจ้าหน้าที่สามารถเก็บขนมูลฝอยไปบริหารจัดการต่อได้ง่ายขึ้น

2. จัดตั้งศูนย์กลางรวบรวมขยะติดเชื้อในชุมชนเพื่อรอนำไปกำจัด เช่น วัด โรงเรียน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) หรือโรงพยาบาลในพื้นที่

3. สร้างศูนย์การจัดการมูลฝอยท้องถิ่นเพื่อรองรับการกำจัดขยะติดเชื้อและหน้ากากอนามัยโดยเฉพาะโดยพิจารณาจากศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและความเหมาะสมของพื้นที่

4. ภาคเอกชนให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น

การติดตั้งเทคโนโลยีการฆ่าเชื้อ (Sterilization) ตามศูนย์การจัดการมูลฝอยติดเชื้อท้องถิ่นต่าง ๆ เช่น

  • การฆ่าเชื้อด้วยไอน้ำ (Autoclaving หรือ Steam Sterilization) ซึ่งเป็นการทำลายเชื้อโรคโดยอาศัยการทำงานร่วมกันของความชื้น ความร้อน และความดัน วิธีนี้ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศแต่อาจก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์
  • การฆ่าเชื้อด้วยความร้อนแห้ง (Dry Heat Sterilization) วิธีนี้สามารถลดปริมาตรมูลฝอยติดเชื้อได้ถึง80% โดยไม่ปล่อยมลพิษอากาศ แต่ต้องใช้อุณหภูมิและระยะเวลาสำหรับการฆ่าเชื้อ (160–180°C ประมาณ 0.5–2 ชั่วโมง) มากกว่าการใช้เทคโนโลยีไอน้ำ (121–134°C ประมาณ 0.5–1 ชั่วโมง)

การติดตั้งเทคโนโลยีดังกล่าว จะทำให้ขยะติดเชื้อที่ผ่านการฆ่าเชื้อโรคแล้วสามารถถูกฝังกลบแบบถูกหลักสุขาภิบาล (Sanitary Landfill) ร่วมกับขยะทั่วไปและสามารถถูกเผาร่วมกับกากอุตสาหกรรมรวมไปถึงขยะชุมชน เป็นการช่วยลดภาระของเตาเผามูลฝอยติดเชื้อและช่วยลดปริมาณขยะติดเชื้อตกค้างได้ในระดับหนึ่ง

ส่งเสริมเทคโนโลยีการรับส่งและติดตามตรวจสอบข้อมูล (Data sharing and tracking system) โดยอำนวยความสะดวกให้ศูนย์รวบรวมขยะติดเชื้อชุมชนทุกแห่งสามารถส่งข้อมูลปริมาณมูลฝอยติดเชื้อที่รับมาในแต่ละวันเข้าสู่ส่วนกลาง เช่น โรงพยาบาลในพื้นที่หรือโรงพยาบาลประจำจังหวัด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการและการจัดเก็บข้อมูลทางสถิติด้านปริมาณมูลฝอยติดเชื้อของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

5. เพิ่มจำนวนรถเก็บขนพร้อมทั้งติดตั้งจุดพักรวมชั่วคราวสำหรับขยะติดเชื้อในพื้นที่ที่มีมูลฝอยติดเชื้อตกค้างสะสมปริมาณมาก

จัดการขยะติดเชื้อ

ในขณะที่โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กำลังแพร่ระบาดอยู่นี้ หน้ากากอนามัยที่เราใช้แล้วทิ้งรวมไปถึงขยะติดเชื้อประเภทอื่น ๆ ก็เปรียบเสมือนภัยเงียบที่กำลังคุกคามและค่อย ๆ ส่งผลกระทบเชิงลบทั้งในด้านสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กับจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้น ปัญหาดังกล่าวต้องการความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคประชาชน ที่นับว่ามีบทบาทสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้การบริหารจัดการขยะติดเชื้อและหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้วเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งยังช่วยลดปริมาณขยะติดเชื้อที่อาจมีการตกค้างสะสมและนำไปสู่วิกฤติทางสิ่งแวดล้อมระยะยาวในอนาคตได้อีกด้วย


อ้างอิง:

  • กรมควบคุมมลพิษ. สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ปี 2563. ออนไลน์. เข้าถึงได้จาก https://www.pcd.go.th/pcd_news/11873/
  • ผู้จัดการสุดสัปดาห์. ขยะ “แมสก์” ล้นเมือง อยากจะทิ้งก็ทิ้งก็ได้เหรอ!?. ออนไลน์. เข้าถึงได้จาก https://mgronline.com/daily/detail/9640000038405
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร. กทม.บริหารจัดการมูลฝอยติดเชื้อโควิดกว่า 46 ตัน/วัน เน้นย้ำแยกขยะติดเชื้อ เพื่อนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี. ออนไลน์.http://www.prbangkok.com/th/board/view/MDY1cDBzNnM0NHIyb3Ezc3E2NnEyNDk0cDRyOTQzcjQwMzQ1Mg==
  • ข่าวไทยพีบีเอส. น่าห่วง! ขยะติดเชื้อเพิ่ม 294 ตันต่อวันเกินศักยภาพกำจัด. ออนไลน์. เข้าถึงได้จาก https://news.thaipbs.or.th/content/306905
  • Thailand Environment Institute (TEI). Solid Waste During COVID-19. ออนไลน์. เข้าถึงได้จาก http://www.tei.or.th/en/blog_detail.php?blog_id=49
  • Das, A. K., Islam, M. N., Billah, M. M., & Sarker, A. (2021). COVID-19 pandemic and healthcare solid waste management strategy – A mini-review. Science of The Total Environment, 778, 146220. https://doi.org/10.1016/j.scitotenv.2021.146220
  • De-la-Torre, G. E., & Aragaw, T. A. (2021). What we need to know about PPE associated with the COVID-19 pandemic in the marine environment. Marine Pollution Bulletin, 163, 111879. https://doi.org/10.1016/j.marpolbul.2020.111879
    • Dybas, C.L. (2021). Surgical masks on the beach: COVID-19 and marine plastic pollution. Oceanography 34(1):12–14. https://doi.org/10.5670/oceanog.2021.105
    • Sangkham, S. (2020). Face mask and medical waste disposal during the novel COVID-19 pandemic in Asia. Case Studies in Chemical and Environmental Engineering, 2, 100052. https://doi.org/10.1016/j.cscee.2020.100052
    • กรมอนามัย. 2562. คู่มือ การจัดการมูลฝอยติดเชื้อ (EHA 4002). เข้าถึงได้จาก https://foodsanold.anamai.moph.go.th/download/D_EHA/HandBook/คู่มือ4002%20การจัดการมูลฝอยติดเชื้อ.pdf

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เอง โดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save