ศักดิ์ ประสาทฤทธา วศ. 2517 |
ผมได้บริจาคโลหิตครั้งแรกเมื่อครั้งเรียนอยู่ปี 1 (ปี พ.ศ. 2517) คณะวิศวฯ จุฬาฯ บริจาคโลหิตที่คณะฯ ห้องกระจกข้างห้องประชุม ตึก 3 โดยไม่มีใครมาชักชวน ถือว่าได้ช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องการ… พอบริจาคเสร็จตอนบ่ายก็ไปเล่นฟุตบอลกับเพื่อนที่สนามข้างหอประชุมใหญ่ (หอประชุมจุฬาฯ) เล่นเสร็จก็ไม่รู้สึกเพลียหรือมีอาการอื่นใด…
จากนั้นก็ได้บริจาคเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน (ปี พ.ศ. 2564) รวมแล้วผมบริจาคที่สภากาชาดไทย 147 ครั้ง ศิริราช 6 ครั้ง โรงพยาบาลรามา 10 ครั้ง… ตอนนี้ก็ได้ชักชวนลูกชายทั้ง 3 คนมาร่วมบริจาคเป็นประจำด้วย
การบริจาคโลหิตช่วยกระตุ้นการทำงานของไขกระดูก ให้สร้างเม็ดโลหิตใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพมีหมุนเวียน ใช้บำรุงร่างกาย เป็นการเปลี่ยนถ่ายเลือดเก่า–เลือดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด รวมทั้งทำให้สุขภาพจิตดีตามไปด้วย…. เมื่อเรารู้ตัวว่ากำลังทำสิ่งดี ๆ เพื่อคนอื่น ความสุข อิ่มใจ จะส่งผลทำให้ตัวเรารู้สึกว่าตัวเองมีค่า
การบริจาคโลหิตใช้เวลาไม่นาน มีเจ้าหน้าที่เจาะเลือดจำนวนมากคอยบริการ หลังการบริจาคตัวผมเองก็จะเพลียเล็กน้อย (คงจะมีอายุมากขึ้น แต่ถามเพื่อนที่ได้รับบริจาคพร้อมกันเขาว่าไม่เพลีย) แต่ก็ทานอาหารได้อร่อยขึ้น ทานได้มากขึ้นเล็กน้อย ช่วงหลัง ๆ ผมจะมีเลือดจาง ทำให้บริจาคไม่ได้มาก ครั้งล่าสุดเลือดเข้มข้นไม่พอทำให้ไม่สามารถบริจาคได้ แต่ก็จะพยายามรักษาร่างกายให้แข็งแรงเพื่อจะได้บริจาคได้อีกครั้ง
ที่สภากาชาดไทยมีบริการตรวจโลหิตของผู้บริจาคโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทำให้ผมรู้จักคำว่า “เฟอริติน– Ferritin หรือปริมาณเหล็กสะสม (ที่พอดีควร 50-100)” การบริจาคทำให้พบว่าผมมีเฟอริตินสูง ครั้งแรกที่พบสูงถึง 626.3 (30/6/60) ล่าสุดที่ตรวจ = 89.43 (24/6/63) เมื่อพบว่าสูงก็ต้องงดยาเม็ดธาตุเหล็กสีแดง และออกกำลังกายมากขึ้น ระวังเรื่องอาหาร การบริจาคโลหิตทำให้เราทราบถึงสุขภาพร่างกายของเราอีกทางหนึ่ง
ท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่า การบริจาคโลหิตถือว่าเป็นการทำทานชั้นสูง เป็นการเสียสละเลือดของตัวเองเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย