พอเพียง: พอดี ดีพอ

พอเพียง: พอดี ดีพอ (Sufficiency: Good, Enough and Fit)


ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน คำว่า พอดี (Fit) หมายความว่า เหมาะเจาะ พอดิบพอดี ส่วนคำว่า ดีพอ ไม่ได้ให้ความหมายไว้โดยตรง หากพิจารณาแยกคำว่า พอ (Enough) หมายความว่า เท่าที่ต้องการ ควรแก่ความต้องการ เต็ม เต็มตามต้องการ เหมาะ เพียงทำได้ ควร ถูก ชอบ หรือบ่งชี้จุด เช่น เมื่อ ครั้นเมื่อ เพิ่ง ส่วนคำว่า ดี (Good) มีลักษณะที่เป็นไปในทางที่ต้องการ น่าปรารถนา น่าพอใจ สวย งาม เรียบร้อย เพราะ จัด เก่ง ชอบ อยู่ในสภาพปรกติ หรือตรงข้ามกับลักษณะบางอย่าง เช่น ชั่ว ร้าย ดังนั้น คำว่า ดีพอ (Good Enough) น่าจะหมายถึง มีลักษณะที่เหมาะเท่าที่ต้องการในทางที่ต้องการ ซึ่งอ้างอิงความต้องการเป็นสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ดีกับพอ ต่างเป็นนามธรรม (Subjective) มีลักษณะเชิงสัมพันธ์ (Relative) เชิงเปรียบเทียบ (Comparative) จึงขึ้นอยู่กับกรอบการพิจารณา กล่าวคือ กาลเทศะ (Space and Time) หรือบริบทการเปรียบเทียบที่เกี่ยวข้อง (Context) ได้แก่ ใคร เปรียบเทียบอะไรกับอะไร อย่างไร เมื่อไร ที่ไหน ทำไม และเพื่ออะไร ยิ่งกว่านั้น การเปรียบเทียบยังนำไปสู่ระดับความแตกต่าง เช่น จากดี ก็ยังจะมี ไม่ดี ดีแล้ว ดีกว่า ดีเยี่ยม ดีที่สุด และจากพอ ก็ยังจะมี ไม่พอ พอแล้ว เกินพอ ซึ่งล้วนมีผลกระทบต่อการสื่อสารและการทำความเข้าใจความหมายให้ตรงกัน ความแตกต่างในสาระสำคัญที่มีนัยแม้เพียงเล็กน้อย (Nuance) ก็อาจจะสร้างปัญหาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อความคาดหวัง (Expectation) บ่อยครั้งพอดีก็ดีพอด้วย บ่อยครั้งดีพอก็พอดีด้วย แต่บางครั้งและหลายครั้งทีเดียว พอดีอาจไม่ดีพอ หรือดีพออาจไม่พอดี ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าบริบทเปลี่ยนแปลงไป

สามเหลี่ยมสมดุล (An Equilibrium Triangle: 3E)

คำว่า สม (Right) หมายความว่า เหมาะ ควร รับกัน ซึ่งสอดคล้องคล้ายคลึงกับคำว่า พอ โดยเฉพาะคำว่า สมดุล (Equilibrium) หมายความว่า เสมอกัน เท่ากัน ดังนั้น พอดีจึงต้องสมดุลกับดีพอถึงจะถือว่าพอเพียงอย่างแท้จริง ตามแผนภูมิ สามเหลี่ยมสมดุล (An Equilibrium Triangle: 3E) แสดงความสัมพันธ์ตามหลักความพอเพียง (Sufficiency Principle) ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานที่มีสามมุมหรือสามหลัก (Pillar) ได้แก่

หนึ่ง หลักสมเหตุ (Effective) พิจารณาที่เหตุปัจจัยเป็นสำคัญ การแก้ปัญหาต้องเริ่มต้นที่สาเหตุที่ถูกต้องตรงกรณีครบถ้วน ถูกตำแหน่งถูกทิศถูกทางถูกเวลา คือ ปัจจยภาพ นัยภาพและวิจยภาพ สอง หลักสมผล (Efficient) พิจารณาที่ผลปัจจัย และกระบวนการเพื่อให้ได้ผลเป็นสำคัญ คือ ผลภาพ ผลิตภาพ และประสิทธิภาพ จากทรัพยากรที่มีที่จัดหาและใช้ไปอย่างถูกขั้นตอนถูกวิธีถูกจังหวะ การแก้ที่ผลลัพธ์เป็นเพียงการปิดแผลเดิมหรือการกลบปัญหาเก่าไว้ ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้จริง ยังคงต้องขจัดต้นตอถอนรากถอนโคน และสาม หลักสมควร (Excellent) พิจารณาที่คุณปัจจัยเป็นสำคัญ คำนึงถึงสัมฤทธิภาพ บูรณภาพ และคุณภาพ เพียงพอจำเป็นตามสถานภาพ อัตภาพ สมรรถภาพ ศักยภาพ และวิริยภาพ ซึ่งเป็นเงื่อนไขข้อจำกัด แต่ยังคงเสาะแสวงหาโอกาสและช่องทางที่จะพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าต่อไป คือ วัฒนภาพ (Progress) เป็นแนวทางวางแผนจากปัจจุบันสู่อนาคต

หลักการสมดุล (Equilibrium Principle) คือ ปริตรภาพ ไม่ประมาท เฝ้าระวังเตรียมพร้อม ป้องกันและปรับปรุง คือเสถียรภาพ เอกภาพและสัจภาพของทั้ง 3 หลัก ไม่ขาด (Under) ไม่เหลือ (Over) ไม่เกินควร (Excessive) มีองค์ประกอบเชิงดุลยภาพ 3 ด้านหรือ 3 แกน (Axis) ได้แก่

สมดุลคู่แรก หลักสมเหตุกับหลักสมผล  เรียกว่า แกนสมเหตุผล สมการ (Reason) สมดุลคู่ที่สอง หลักสมเหตุกับหลักสมควร เรียกว่า แกนสมคุณค่า สมคุณ (Value) และสมดุลคู่ที่สาม หลักสมผลกับหลักสมควร เรียกว่า แกนสมต้นทุน สมทุน (Cost) ไม่ว่าทางการเงินหรือไม่ใช่การเงิน วิธีการคิด เช่น การวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์ (Cost-Benefit Analysis) เป็นต้น จึงควรครอบคลุมทุกสมดุล รวมถึงในแง่ภาระ (Burden) ของทุนกับคุณ

หลักการสมดุลเป็นกลไกทบทวนปรับปรุงให้พอดีและดีพอควบคู่กันอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง เพื่อดำรงรักษาดุลยภาพ (Resilient) หากความพอดีเปลี่ยนไปก็ต้องปรับสมดุลหาความดีพอใหม่ ในทางกลับกัน หากความดีพอเปลี่ยนไปก็ต้องปรับสมดุลหาความพอดีใหม่ การตื่นตัวตระหนักรู้ต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายทั้งปวงตลอดเวลา ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ด้วยหลักอัปปมาทธรรม ความไม่ประมาท (Vigilance) จึงเป็นรากฐานที่สำคัญของการดำเนินชีวิตและการดำเนินงานอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน (Sustainable) หรือการเจริญสติ สมาธิและปัญญา บนเส้นทางการศึกษา ตามหลักไตรสิกขาทางสายกลาง ตริตรองปริยัติคติธรรม จัดกรอบความคิด คัดสรรคติภาพเจตคติ (Purpose) วางโครงสร้างพื้นฐาน (Platform) คุณคติ เริ่มจากทัศนคติ (Attitude) ถึงนโยบาย (Policy) เชื่อมโยงหลักคิดสู่แนวปฏิบัติ พฤติกรรมการกระทำ (Principle into Practice) ปฏิบัติจริงด้วยคติกรรม (Process and Procedure) นำมาซึ่งปฏิเวธ ผลงานผลกรรม (Performance) ประยุกต์ใช้สำหรับบุคคลและองค์กร

กล่าวโดยย่อ หลักความพอเพียง ซึ่งประกอบด้วยมีเหตุผล อิทัปปัจจยตา (Reasonable) มีพอประมาณ มัตตัญญุตา (Moderate) และมีภูมิคุ้มกัน อัปปมาทะ (Prudent) อาจแสดงได้ในรูปสามเหลี่ยมสมดุล ซึ่งมีสามมุม คือ สมเหตุ สมผล และสมควร กับสามด้าน คือ สมการ สมคุณ และสมทุน สรุปได้ว่า พอเพียง คือ พอ ดี ทั้งพอดีและดีพอ ควบคู่กันรองรับกันสมดุลกัน


ที่มา: อินทาเนีย ฉบับที่ 3 ปี พ.ศ. 2568 คอลัมน์ ข้อคิดจากนิสิตเก่า โดย ดร.ปิยะพันธ์ ทยานิธิ วศ.23