ค่ายวิศวพัฒน์เป็นโครงการค่ายวิศวกรรมอาสาพัฒนาชนบทที่ได้รับการสนับสนุนและจัดขึ้นโดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วยคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ซึ่งมีเป้าหมายในการส่งเสริมการพัฒนาทักษะของนิสิตและการแก้ปัญหาความท้าทายในด้านวิศวกรรมในชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ ค่ายวิศวพัฒน์เป็นโครงการที่เกิดขึ้นตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงเห็นความสำคัญของการพัฒนาความรู้ทางวิศวกรรมให้แก่เยาวชน และเพื่อให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาและช่วยเหลือชุมชนผ่านการใช้ความรู้ทางวิศวกรรมในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ
หนึ่งในตัวอย่างของความสำเร็จจากโครงการค่ายวิศวพัฒน์ คือการพัฒนาระบบการจัดการน้ำในบ้านเชตวัน ตำบลสันทะ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาความแห้งแล้งและขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรกรรมและการใช้ชีวิตประจำวันของชาวบ้าน การขาดแคลนน้ำทำให้ชุมชนต้องเผชิญกับความยากลำบากในการทำการเกษตรและการดำรงชีวิต โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่น้ำมีไม่เพียงพอ
ในโครงการนี้ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ส่งนิสิตและคณาจารย์ไปทำงานร่วมกับชุมชนในการพัฒนาแหล่งน้ำ โดยการออกแบบและวางแผนการก่อสร้างระบบน้ำประปาที่สามารถนำมาใช้ได้ตลอดทั้งปี ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการออกแบบระบบการจัดการน้ำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฝึกฝนและปลูกฝังทักษะด้านการแก้ปัญหาจากนิสิตที่เข้าร่วมโครงการ
การฝึกปฏิบัติจริงในการแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำทำให้นิสิตได้เรียนรู้วิธีการใช้เครื่องมือและเทคนิคทางวิศวกรรมที่จำเป็นในการสร้างระบบน้ำประปาที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการทำงานเป็นทีมและการประสานงานกับชุมชน เพื่อให้โครงการประสบความสำเร็จ การทำงานร่วมกับชุมชนเป็นหนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญในการดำเนินโครงการ เนื่องจากการทำให้ชุมชนเห็นถึงประโยชน์ของระบบการจัดการน้ำที่สร้างขึ้นและการมีส่วนร่วมของชาวบ้านในการบำรุงรักษาระบบดังกล่าวจะช่วยให้โครงการสามารถดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน
ภายใต้การดูแลของ รองศาสตราจารย์ ดร.สรรเพชญ ชื้อนิธิไพศาล อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมสำรวจ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โครงการนี้ได้บรรลุเป้าหมายสำคัญในการช่วยให้ชุมชนบ้านเชตวันมีน้ำใช้เพื่ออุปโภคบริโภคตลอดทั้งปี โดยไม่เพียงแต่แก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในระยะสั้น แต่ยังสร้างความยั่งยืนให้แก่ชุมชนผ่านการมีแหล่งน้ำที่มั่นคง
นอกจากนี้ การเข้าร่วมในโครงการค่ายวิศวพัฒน์ยังช่วยปลูกฝังให้นิสิตมีจิตอาสาในเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญในการพัฒนาความเป็นผู้นำที่มีคุณธรรมและจริยธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่ต้องการบุคลากรที่สามารถใช้ความรู้และทักษะในการสร้างประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม
ค่ายวิศวพัฒน์จึงไม่เพียงแค่เป็นโครงการวิศวกรรมที่มีจุดมุ่งหมายในการแก้ไขปัญหาด้านการจัดการน้ำเท่านั้น แต่ยังเป็นโครงการที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาผู้นำที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งเสริมสร้างความสามารถในการทำงานร่วมกับชุมชนและการทำงานเป็นทีม ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในการดำเนินงานในโลกยุคปัจจุบัน
ด้วยการมีส่วนร่วมจากคณาจารย์และนิสิตของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในโครงการค่ายวิศวพัฒน์ ชุมชนบ้านเชตวันจึงสามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำได้อย่างยั่งยืนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิศวกรรมเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและสังคมในภาพรวม
ความเป็นมาของค่ายวิศวพัฒน์
ค่ายวิศวพัฒน์เป็นค่ายอาสาที่เข้าไปพัฒนาชุมชนหรือให้ความช่วยเหลือชุมชนและพยายามปรับรูปแบบให้แตกต่างจากรูปแบบเดิมมาเรื่อย ๆ ต่อมา รองศาสตราจารย์ ดร.สรรเพชญ ต้องการสร้างค่ายอาสาแบบใหม่ซึ่งบริหารจัดการโดยนิสิต เพื่อให้นิสิตได้เรียนรู้และต่อยอดกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่อง และต่อมาช่วง พ.ศ. 2559 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ร่วมมือกับมูลนิธิรากแก้ว โครงการที่ส่งเสริม สนับสนุนกระบวนการเรียนรู้นอกห้องเรียนโดยการปฏิบัติจริง ตลอดจนสร้างแรงจูงใจและแรงบันดาลใจให้นิสิตลงมือพัฒนาโครงการ เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ให้ชุมชน ซึ่งเป็นโครงการที่ทำให้นิสิตได้สัมผัส เรียนรู้ พูดคุย เข้าหาชุมชน ทำให้ยกระดับกิจกรรมนี้ขึ้นไป ตอบโจทย์ปัญหาที่ชาวบ้านต้องการ โดยใช้แนวคิดและหลักการพัฒนาตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 เข้ามาเป็นตัวชี้วัด ที่สำคัญคือ คนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม พูดคุย วางแผน และกำหนดเป้าหมายร่วมกัน ซึ่งเป็นความยากของโครงการนี้
รายละเอียดและแผนงานของโครงการต้นน้ำ จังหวัดน่าน
พ.ศ. 2559-2560 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ดำเนินโครงการร่วมกับมูลนิธิรากแก้ว และเมื่อสัญญาสิ้นสุดลงจึงต้องหาพื้นที่ในการดำเนินงานต่อเพื่อให้นิสิตได้เรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการประกาศข้อมูลลงบนเครือข่ายท้องถิ่นจังหวัดน่าน ว่าทางเรามีโครงการค่ายอาสารูปแบบนี้พอจะมีพื้นที่หรืองานอะไรที่ให้เราสามารถเข้าไปช่วยเหลือได้บ้าง จากนั้นมีโจทย์อยู่ 2-3 ข้อ ซึ่งนิสิตของเราได้เลือกข้อที่ยากที่สุด คือ ทำฝายใหญ่ หลังจากได้โจทย์จึงเข้าไปสำรวจพื้นที่ซึ่งมีความยากเพราะเป็นพื้นที่เขาหัวโล้น ผู้คนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมบนพื้นที่สูง จึงมีข้อจำกัดในการเพาะปลูกพืชที่หลากหลาย เนื่องจากน้ำไม่เพียงพอต่อการทำเกษตร จึงต้องปลูกพืชเชิงเดี่ยว ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมจากการเผาพื้นที่ทำกินเพื่อเตรียมการเกษตร ส่งผลให้เกิดมลพิษในการเผา เป็นสาเหตุที่ทำให้ผืนป่าถูกทำลาย จากนั้นจึงได้นัดพูดคุยกับคนในชุมชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกรมอุทยานฯ กรมป่าไม้ องค์การบริหารส่วนตำบล
พ.ศ. 2561 ปีแรกที่ค่ายวิศวพัฒน์ได้เข้าไปทำฝาย ทำให้เขาหัวโล้นมีน้ำตลอดทั้งปี ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ปีที่ 2 ทางค่ายฯ ได้ต่อยอดขยายฝายให้ใหญ่ขึ้น ต่อท่อนำน้ำไปใช้ประโยชน์ด้านเกษตรกรรมบนพื้นที่ประมาณ 200 ไร่ ซึ่งมีน้ำไหลผ่านหน้าบ้านของชาวบ้านแล้วในช่วงนั้น ชาวบ้านต้องดึงน้ำเข้ามาเก็บ และก่อนที่จะทำฝายเราได้มีการทำประชาคมกับชาวบ้านก่อนเพราะเป็นโครงการที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยาก ซึ่งชาวบ้านบอกว่าอยากทำฝายเพราะจะทำให้ชาวบ้านนั้นมีทางเลือกที่ดีขึ้น มีน้ำใช้ ซึ่งเราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงเราจึงขอให้ชาวบ้านเปลี่ยนไปปลูกไม้ยืนต้น 10% ซึ่งเป็นคำสัญญาระหว่างค่ายฯ กับชาวบ้าน หากชาวบ้านทำได้เราก็จะทำฝายให้ ซึ่งก่อนหน้านั้นโครงการหลวงได้ขึ้นไปดูด้านบนแต่ยังไม่สามารถช่วยเหลือได้เพราะไม่มีน้ำ ไม่สามารถปลูกอะไรได้ และหลังจากทำโครงการไปแล้ว 2 ปี ได้เชิญโครงการหลวงขึ้นไปดูอีกครั้งว่ามีน้ำแล้ว โครงการหลวงจึงได้เข้ามาสนับสนุนในเรื่องเมล็ดผักให้ชาวบ้านปลูกผักในช่วงหลังฤดูฝนไปแล้ว เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ชาวบ้านเริ่มมีรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งโครงการหลวงได้รับซื้อผักในส่วนนี้ ทำให้ชาวบ้านสามารถจัดการเรื่องแปลงเกษตรได้มากขึ้น ได้เห็นความสำเร็จในเรื่องแหล่งน้ำ ในปีที่ 3 และเมื่อเข้าปีที่ 4 ได้ทำฝายเพิ่มเนื่องจากพื้นที่ด้านบนยังไม่ได้รับประโยชน์จากน้ำ เพราะฝายที่ได้ทำไปครั้งแรกพื้นที่รับน้ำจะอยู่ที่ด้านล่างครอบคลุมพื้นที่ 200 ไร่ จากนั้นจึงได้ลงพื้นที่สำรวจและทำฝายใหญ่ขึ้นอีกแห่ง ต่อท่อเพิ่มพื้นที่รับประโยชน์อีก 200 ไร่ ไม่รวมฝายชะลอน้ำเล็กๆ ทำให้คุณภาพชีวิตของชาวบ้านดีขึ้น สะดวกสบายมากขึ้น ส่งผลให้ชุมชนมีน้ำใช้เพื่ออุปโภคและบริโภคได้ตลอดทั้งปี
ต่อมาใน พ.ศ. 2566 โครงการได้ดำเนินไปอย่างช้าๆ เนื่องจากชาวบ้านมีข้อจำกัดเพราะต้องทำกินและชาวบ้านยังได้มอบพื้นที่ส่วนหนึ่งให้ รองศาสตราจารย์ ดร.สรรเพชญ อาจารย์จึงนำพื้นที่ส่วนนั้นไปสร้างบ้านดิน เมื่อสร้างเสร็จได้ทำระบบโซลาร์เซลล์ให้ชาวบ้านดูเป็นตัวอย่างเพื่อใช้เป็นระบบส่องสว่างในช่วงกลางคืน ซึ่งพื้นที่ตรงนั้นไม่ใช่พื้นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านแต่เป็นพื้นที่ทำกิน และหลังจากที่สร้างบ้านดินเสร็จในช่วง พ.ศ. 2566 ได้สร้างฝายเพิ่มอีก 1 แห่ง เพื่อใช้เป็นแหล่งผันน้ำขึ้นสู่ยอดเขาโดยใช้ระบบโซลาร์เซล์ ต่อมา พ.ศ. 2567 ทางค่ายฯ ได้ทำกระบอกปั๊มน้ำโซลาร์เซลล์สูบน้ำ 2 แห่ง ขึ้นไปบนเขาและทำที่เก็บน้ำบนเขา ล่าสุดเมื่อต้น พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมาได้ทำระบบน้ำประปาจากบ่อสูบที่ผันน้ำจากโซลาร์เซลล์ขึ้นไป ติดมิเตอร์ ให้เป็นระบบประปาตามมาตรฐาน และหลังจากนั้นชาวบ้านได้สร้างบ้านเพิ่มเพื่อสำหรับอยู่อาศัย ติดระบบไฟโซลาร์เซลล์บนพื้นที่ทำกิน ซึ่งจากที่แต่ก่อนไม่มีระบบน้ำและไฟใช้ ตอนนี้มีความสะดวกสบายมากขึ้นโดยประยุกต์ตัวอย่างจากค่ายฯของเรา บ้านดินนี้จึงกลายเป็นศูนย์เรียนรู้ เพื่อเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ให้กับกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่และคณะดูงานจากภายนอก พร้อมส่งต่อแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่สูงที่แห้งแล้งไปสู่ชุมชนอื่น
ซึ่งมูลนิธิรากแก้วได้เห็นความสำเร็จของโครงการจึงมอบรางวัลชนะเลิศ “2023 Rakkaew Foundation National Exposition : University Sustainability Showcase” พร้อมเงินสนับสนุนจำนวน 100,000 บาท ให้แก่โครงการนี้ เพื่อนำไปขยายผลต่อยอดและการันตีความสำเร็จของนิสิตที่ได้รวมกลุ่มกันคิดและลงมือทำโครงการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ตอบโจทย์ปัญหาและความต้องการจริงของชุมชน จากการนำความรู้จากห้องเรียน ความคิดสร้างสรรค์ และศักยภาพมาพัฒนาเป็นโครงการที่สามารถแก้ไขปัญหาและสร้างผลกระทบเชิงบวกที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน
แผนการในอนาคตของค่ายวิศวพัฒน์
ต้องการคืนความอุดมสมบูรณ์กลับเข้ามาให้แก่ภูเขาหัวโล้นซึ่งโจทย์ค่อนข้างยาก ในช่วงแรกรู้สึกขาดความมั่นใจเพราะเป็นงานชุมชนไม่ใช่งานวิศวฯ และเป็นงานที่ต้องการความต่อเนื่อง ซึ่งเราได้ทำให้ประสบความสำเร็จไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่ยังมีพื้นที่ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เพราะยังขาดน้ำ และต้องดูว่าจะมีช่องทางที่สามารถเพิ่มแหล่งน้ำเข้ามาได้ไหมและมีพื้นที่ที่จะสามารถทำต่อได้อีกไหม
ณ วันนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนจากเกษตรเชิงเดี่ยวมาเป็นพืชผสมผสาน 100 กว่าไร่ จากพื้นที่ที่วางแผนไว้ 200 ไร่ ซึ่งเกิน 50% และใน พ.ศ. 2568 มีคิวที่จะเปลี่ยนประมาณ 4-5 แปลง พื้นที่รวมประมาณ 50 กว่าไร่ เพราะได้ขยายน้ำขึ้นไปบนที่สูงให้แล้ว แปลงเกษตรไม้ผลที่เปลี่ยนแปลงปีแรกคือ พ.ศ. 2562 มีผลผลิตขายได้และแปลงทุเรียนมีการออกดอกขายได้ และสำหรับ พ.ศ. 2568 รอเห็นผลสำเร็จว่าเมื่อไรทุเรียนออกชาวบ้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงเศรษฐกิจ และได้คิดกับทีมงานว่า หากเราปลูกต้นไม้และยกระดับดำเนินงานเรื่องคาร์บอนควบคู่ไปด้วย และเมื่อมีความอุดมสมบูรณ์ชาวบ้านเริ่มสร้างบ้านซึ่งข้อดีของการสร้างบ้านคือต้องมีคนดูแล ผมจึงได้พานิสิตเก่าผู้สนับสนุนไปเยี่ยมชม เป็นพื้นที่ที่มีเสน่ห์ เหมาะกับการท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาว ซึ่งถามว่าจะทำต่ออีกกี่ปี ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยและเป้าหมายว่าสำเร็จมากเพียงใด
ที่มา: อินทาเนีย ฉบับที่ 2 ปี พ.ศ. 2568 คอลัมน์ สัมภาษณ์พิเศษ โดย กองบรรณาธิการ