วิศวกร กับภาษาอังกฤษ

วิศวกร กับภาษาอังกฤษ


การประชุมนี้มีชาวต่างชาติที่พูดภาษาไทยไม่ได้อยู่ด้วย 2 คน จึงใช้ภาษาอังกฤษในการประชุมเพียงภาษาเดียว ผมเดินตามพี่วิศวกรอาวุโสมาเข้าห้องประชุม แกนั่งลงผมก็นั่งข้างแก ไม่ทันสังเกตบุญมาวาสนาส่งโดยแท้ ทางซ้ายมือผมเป็นพ่อหนุ่มเบลเยียม นั่งติดกันเลย ก็ไม่ได้คิดว่าจะมีปัญหาอะไร ที่ไหนได้ เคยเจอกันบ้างไหมครับ ฝรั่งช่างพูดช่างซัก ช่างถามน่ะครับ

การเปลี่ยนตัวผู้ควบคุมงานกลางคัน จากพี่วิศวกรอาวุโสที่เริ่มงานโครงการนี้มาตั้งแต่แรก มาถึงตอนนั้น Progress งานไปประมาณ 45-50% แล้ว ทำให้ทาง EGAT ไม่สบายใจ ที่สำคัญดันเปลี่ยนเป็นไอ้หนูหน้าอ่อนอย่างผม ยิ่งทำให้ผู้เกี่ยวข้องกังวลและเหมือนจะมีความไม่ชอบใจอยู่ด้วย ทำนองว่าบริษัทผู้รับเหมาไม่ให้ความสำคัญแก่งานนี้ พอได้งานใหม่ที่ใหญ่กว่าก็เปลี่ยนตัว แล้วเอาเด็กใหม่มาทำแทนทีม EGAT และ Consult

ตั้งแต่ผมเริ่มนั่งประชุม พี่วิศวกรอาวุโสแนะนำตัวผมอย่างเป็นทางการ รวมถึง Project Organization ใหม่ จากนั้นก็มีการถกอภิปรายความคืบหน้าต่าง ๆ การปรับปรุงงาน การเร่งรัดงาน ไปจนถึงการอนุมัติการส่งมอบในคร้ังน้ี พร้อมกับการยอมรับเป็นกรณีพิเศษบางรายการโดยห้ามไม่ให้เกิดขึ้นอีก ตลอดการอภิปรายอันยาวนานผมฟังไม่รู้เรื่องเลยครับ ผมหมายถึงไม่รู้เลยจริงๆ ผมฟังไม่ออกเลย ที่เขียนมาเมื่อสักครู่ นั้นใช้สามัญสำนึกเดาล้วน ๆ ซึ่งพอเดาได้บ้าง แต่ฟังคำพูดไม่ออก ที่จะเข้าใจหรือรับรู้จากการฟังการสนทนาเองโดยตรงนั้นไม่มีเลย

เมื่อการประชุมเสร็จสิ้น กำลังลงนามอนุมัติต่าง ๆ ตามขั้นตอน ระหว่างนั้นก็ตามประสาล่ะครับ อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้ง ผู้รับเหมา เจ้าของงาน Consult ก็ถึงคราวคุยเล่นหยอกล้อเพื่อกระชับความสัมพันธ์ จะได้สนิทสนมทำงานกันสบายใจ พี่วิศวกรอาวุโสผม แกถนัดอยู่แล้วเรื่องแนวนี้ คนที่สร้างปัญหาให้ผมมากที่สุดก็คือ พ่อหนุ่มเบลเยียมนี่แหละ เขาเรียกแกว่าไมค์ ไมค์นี่เป็นคนพูดเก่ง เขาเริ่มเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ ซึ่งผมฟังไม่ออกไม่ทราบว่าเขาพูดอะไร พอเขาพูดจบ คนอีก 8 คนก็พร้อมใจกันหัวเราะลั่นห้องเหมือนเป็นเรื่องตลกสุดขีด เหลือผมอยู่คนเดียวที่ไม่ได้ขำม่ัวไปกับเขา ยังไม่หนำใจ ตาไมค์ก็เริ่มเล่าอะไรต่ออีก คราวนี้ใส่เสียงสูงเสียงต่ำเสียงบี้เข้าไปด้วย สักพักก็มีท่าประกอบบิดซ้ายบิดขวา คนบางคนเริ่มฮากันเบา ๆ บ้างแล้ว พอเล่าจบ วิศวกรหญิง EGAT ก็พูดอะไรสักอย่างเสริมมุขเพิ่มให้ตาไมค์ แล้วทุก ๆ คนยกเว้นผมก็หัวเราะ ด้วยความที่นั่งติดกัน ตาไมค์ ขำ ๆ อยู่ก็เอาศอกมากระทุ้งสีข้างผมเบาๆ เหมือนจะถามว่าไม่ฮาหน่อยเหรอ

ขณะที่ผมเริ่มเครียดสุดขีด คิดอยู่ในใจคนเดียวว่า เล่าเรื่องตลกอีกแล้วใช่ไหม แล้วผมจะทำยังไงกับตัวเองดี เรื่องนี้คงทำคนฮากัน ตกเก้าอี้อีกแน่ ๆ แล้วตัวผมจะรับมือยังไงดี จะร่วมทัวร์ขำไปกับเขาด้วย จะหัวเราะ Fake ระดับน้ำตาไหล อ้าปากกว้างทั้ง ๆ ที่เราไม่รู้เลย ว่าเขาพูดถึงอะไร

ผมเป็นคนเส้นลึก เป็นคนขำยาก ภาษาอังกฤษไม่ได้ มีปัญหาอะไรกับผม และผมก็เป็นคน Serious งานก็เยอะ ไม่มีเวลามานั่งขำแบบพวกคุณหรอก คิดในใจเสร็จ ก็หวังเผื่อจะสื่อให้คนอื่นรับรู้ได้บ้างจะได้บรรเทาความอับอาย ลงมาสักนิด เหลือบตาเล็งปากประตูในฉับพลัน หอบข้าวของลุกพรวดไม่บอกกล่าวใคร เตรียมจะพุ่งหนีออกไปจากพื้นที่ Dead Zone นี้ พี่วิศวกรอาวุโสทักผมว่าตรวจงานเสร็จ เราต้องเลี้ยงข้าวเขานะ พี่ให้จองโต๊ะไว้แล้ว เดี๋ยวเรา 2 คน นั่งรถคุณไมค์ไปด้วยกันจะได้สนิทกันเร็ว ๆ ต้องทำงานร่วมกับเขาทุกวันนะ

3-4 วันที่ผ่านมา ผมเห็นเวลาคุณไมค์เขาจะสั่งงาน เขาจะสั่งเป็นภาษาอังกฤษผ่าน Foreman หรือ Supervisor คนใดคนหนึ่งในทั้งหมด 4 คนของทีมผม ถึงแม้ว่าทุกคนจะตอบในลักษณะเป็น One Word แต่ก็แสดงว่าเขาคุยกันรู้เรื่อง สื่อสารกันได้ ในขณะที่ผมฟังไม่ออกเลย แล้วถ้าผมจะคุยเรื่องงานกับคุณไมค์นี่ผมต้องคุยผ่านลูกน้องผมหรือ และในทางกลับกัน คุณไมค์เองก็ต้องคุยกับผมผ่าน Foreman ผมรู้สึกอับอายตัวเองมาก ทำงานไม่ได้ เหมือนเป็นวิศวกรที่ไม่สมบูรณ์ เพราะในที่ประชุมนั้นวิศวกรทุกคนสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษกันได้หมด นอกจากผมคนเดียว เหมือนไร้ค่า ไม่ควรมาทำงานตรงนี้ เหมือนมาเป็นภาระ ส่วนหนึ่งที่ผมรู้สึกอยู่ในเวลานั้นคือผมกลัว ผมกลัวที่คนอื่นจะรู้ว่าผมฟังภาษาอังกฤษไม่เข้าใจเลย ไม่ใช่เข้าใจบ้าง แต่คือไม่เข้าใจเลย ผมไม่รู้ตัวมาก่อน ผมเรียนภาษาอังกฤษมา สอบภาษาอังกฤษมา ไม่ได้เก่งพิเศษอะไร แต่คะแนนก็ถือว่าใช้ได้

แต่โชคดีเป็นของผมอย่างหนึ่ง ที่ความกลัวเรื่องภาษา อังกฤษนั้น ผมกลัวอยู่เพียง 2 วัน

ระหว่างทางนั่งรถไปที่ร้านอาหาร พี่วิศวกรผมก็คุยกันไปตลอดทางกับพี่ไมค์ ต้องขอบอกว่า 2 คนนี้คุยกันไม่หยุด จริง ๆ คุยเก่งมากทั้งคู่ ซึ่งช่วยผมได้อย่างมากที่ไม่ต้องมีใคร มีเวลาหันมาคุยกับผม ผมนั่งฟังไป ไม่ใด้ตั้งใจฟังมากเพราะไม่เข้าใจ แต่ผมคิดว่านี่คือการฟังที่เหมือนฟังเพลง คิดไป ท้อใจไป อยากขอเพียงเข้าใจบ้างสักนิดว่า เขาพูดอะไร ถึงที่ร้านอยู่กันครบพร้อมหน้าพร้อมตา 10 คนแบบในที่ประชุมเลย บรรยากาศแบบเดิมก็กลับมาอีกคร้ัง คือทุกคนคุยกัน สนทนากันด้วยภาษาอังกฤษ ก็เหมือนเดิมผมยังคงเงียบกริบ ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่ได้คุยกับใคร ดูเหมือนกุ้งแช่น้ำปลาที่นอนเรียงกันอยู่ในจานจะมีประโยชน์กว่าผมมาก อึดอัด เครียด และหดหู่สุดขีด โชคดีที่ไม่ใช่เวลาการประชุม ผมเลยแวบมาเข้าห้องน้ำ รอคุยกับพนักงานในร้านที่พูดภาษาไทยกับผมได้

ทั้งโต๊ะอาหารมีคุณไมค์คนเดียวที่ดื่มเบียร์ ทีม EGAT ทีมนี้ ไม่มีใครดื่มแอลกอฮอล์เลย หรืออาจเป็นเพราะหัวหน้าทีมเขา ไม่ดื่ม เลยไม่มีใครกล้าดื่ม และเป็นอย่างนี้ทุกครั้งจนจบ Project นี้ ขอบันทึกไวัสักนิดนะครับว่า หัวหน้าทีมของ EGAT ทีมนี้ ทำงาน ที่ EGAT จนเกษียณในตำแหน่งรองผู้ว่าการ กฟผ. เลยทีเดียว

พี่วิศวกรก็มาบอกผมว่าให้ผมกลับไปทำงานก่อน กลับไปกับคุณไมค์ ผมเพิ่งเข้ามาทำงาน เข้าช้าจะดูไม่ดี ส่วนตัวเขาจะคุยงาน ต่อแล้วจะตามเข้าไป นั่นแปลว่าผมจะต้องอยู่ในรถในพื้นที่แคบ ๆ ที่หนีไปไหนไม่ได้ ระหว่างนั่งรถกลับมา ผมเครียดมาก นั่งตัวเกร็งตลอดทาง คุณไมค์ก็กลับเงียบไม่พูดอะไรเหมือนกัน จนเข้าซอยมาซอยหนึ่ง มีพื้นที่ Site งานเล็ก ๆ ของบริษัทตั้งอยู่ คุณไมค์เขาพบผมหลายครั้งที่นี่ เขาหันมาถามหรือบอกอะไรสักอย่างกับผม เป็นประโยคยาว ๆ ลงท้ายจบประโยคด้วยน้ำเสียงเหมือนเป็น คำถาม ผมฟังไม่ออกเลย ไม่รู้เขาพูดอะไร กลัวจนลนลานไปหมด แต่เรื่องจริงก็คือผมก็เหมือนคนไทยจำนวนหนึ่งในสมัยนั้น โดยไม่ต้องนัดกัน เมื่อเราถูกฝรั่งถามอะไรก็ตาม ถึงแม้เราจะฟังไม่รู้เรื่อง แต่ด้วยความมีน้ำใจ ไม่อยากให้บทสนทนามีปัญหาหรือไม่อยาก ให้เขารู้ว่ากูไม่รู้ว่ามึงถามอะไร เราก็จะตอบไปว่า Yes ครับ ผมก็ ตอบไปแบบนั้น สักพักเดียวเขาก็จอดตรง Site ที่ผมว่า ผมยังคง นั่งนิ่ง ๆ งง ๆ อยู่ว่าเขาจอดทำไม หันไปหาแก เห็นคุณไมค์ก็หัน มาจ้องผมตรง ๆ ทำท่าเหมือนสงสัย เหมือนงง ๆ กับผม เรา 2 คน สบตากันแบบต่างคนต่างงงกันและกันอยู่พักหนึ่ง สัก 1-2 วินาที จากแววตาและสีหน้าคุณไมค์ ผมพอจะเข้าใจได้ว่า เมื่อสักครู่เขา คงจะถามผมว่าจะลงที่ Site นี้ใช่ไหม ซึ่งผมก็ดันตอบไปว่า Yes เขาก็เลยจอดให้ลงน่ะ ผมว่างั้นนะ จากนั้นผมก็ได้แต่ Thank you แล้วลงจากรถ ตอนลงมาก็เหลือบ ๆ ดูทรงเขาด้วยหางตาเล็ก ๆ เขาขับรถออกไปเลย ผมคงเดาได้ถูกต้องแล้วมั้ง พักหนึ่ง รอจน เขาน่าจะไปไกลแล้ว จึงออกเดินเท้ากลับ Office ก็เดินไปตามทาง ที่เขาเพิ่งขับรถออกไปนั่นแหละ

ในอีกราว 2 เดือนจากวันนั้นไมค์กับผมได้ร่วมงานกันใกล้ชิด เกื้อกูลกันมากมายและสนิทสนมกันมาก ถึงขั้นเป็นเพื่อนสนิทกันระดับหนึ่งเลย ทั้ง ๆ ที่วัยห่างกันเกือบ 15 ปี ช่วงหนึ่ง แทบจะทุก ๆ เช้าก่อนเริ่มงาน คุณไมค์มักจะขึ้นมาหาผมที่โต๊ะ คุยกันสารพัดเรื่องราว ก่อนแยกย้ายกันไปทำงาน…

อ่านต่อได้ในฉบับหน้า


ที่มา: อินทาเนีย ฉบับที่ 1 ปี พ.ศ. 2567 คอลัมน์ เรื่องเล่าชาวอินทาเนีย โดย ครองพล ตันติพงศ์ วศ.28


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เอง โดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save