บ้านเราเข้าสู่ ฤดูหนาวอย่างเต็มตัวแล้ว หลายพื้นที่อุณหภูมิลดต่ำลงมาก มากจนสมใจคนเมืองร้อนอย่างเราที่เฝ้าถวิลหาความเย็น โดยเฉพาะในปีนี้ ที่อย่างไรเราก็ต้องพยายามมีความสุขกันในบ้านให้ได้ เพราะจะหนีออกไปเล่นหิมะที่ญี่ปุ่น เกาหลี ยุโรป หรืออเมริกา หนีร้อนแบบเดิมไม่ได้เสียแล้ว
และเมื่อสุขจากอากาศหนาวแล้ว ก็อยากให้ระวังกันสักนิดไม่ใช่ระวังโรคที่มาจากภัยหนาว แต่ระวังภัยจากหลักการธรรมชาติของตัวอากาศเองที่เปรียบเหมือนลูกตุ้มนาฬิกา หากแกว่งไปทางซ้ายกว้าง พอแกว่งกลับมาทางขวาก็จะกว้างด้วย ซ้ายเท่าไรขวาก็เท่านั้น เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีเหตุปัจจัยภายนอกมากระทบ
หากเหตุนอกช่วยชะลอ ตุ้มนั้นก็จะค่อย ๆ หมดแรงเหวี่ยงแคบลง ๆ จนหยุด กลับกันคือ หากเหตุนอกเป็นการเสริมแรงตุ้มก็จะยิ่งทวีความกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดดุลจะเสีย จนตุ้มอาจหลุดออกจากแกนยึดกันเลยทีเดียว
แล้วคุณ ๆ คิดว่าเหตุนอกของโลกนั้นเป็นการชะลอหรือเร่งครับ!
เชื่อว่าคำตอบคงตรงกันหมด…
นั่นหมายถึงถ้าปีนี้เราหนาวมาก ปีถัด ๆ ไปเราก็จะร้อนจัดจึงอยากให้สังวรไว้ว่าเมื่อตุ้มแกว่งไปอีกทาง เราก็ต้องผจญกับความร้อนสาหัสด้วยเช่นกัน
เตือนเพื่อจะได้เตรียมการกันไว้บ้างครับ คลื่นความร้อนที่เคยดูในหนังนอกไม่ใช่เรื่องเกินเลย เกิดจริงและเกิดแน่แก้ไม่ได้ได้แค่เตรียมตัวรับและอยู่กับมันให้ได้
ส่วนจะอยู่อย่างไร หากใครตอบว่าหาเงินติดแอร์นั้นอาจต้องคิดใหม่ เพราะหลักการของแอร์คือการดูดความร้อนจากสถานที่หนึ่ง (ในบ้าน) ไปส่งอีกสถานที่หนึ่ง (นอกบ้าน) หมายถึงแม้ในบ้านจะเย็นแต่พอออกนอกบ้านก็จะร้อนยิ่งขึ้น และยิ่ง ๆ ขึ้น จนแทบจะอยู่กันไม่ได้ ทั้งส่งผลย้อนกลับมาให้บ้านร้อนจนต้องเพิ่มแอร์เข้าไปอีก อันหมายถึงเพิ่มความระอุข้างนอกเพิ่มอีก
ดังนั้น การเตรียมตัวที่ถูกต้องจึงเป็นการปลูกต้นไม้ให้ร่ม กับการมีบ่อน้ำให้เย็น คือต้องกลับมาอยู่กับธรรมชาติให้มากที่สุด
แต่นี่เป็นแต่เพียงครึ่งหนึ่ง หรือจะว่าไปอาจไม่ถึงครึ่งหนึ่งของชีวิตก็ได้ เพราะชีวิตคนเรานั้นมี 2 ส่วนประกอบกัน คือ กายกับ ใจ ที่ไล่เรียงมาข้างต้นนั้นก็เป็นเพียงส่วนครึ่งของกายที่ควรเตรียมรับมือกับอากาศที่แปรปรวน แกว่งซ้ายขวา หนาวร้อนที่รุนแรงขึ้น แต่ที่สำคัญกว่าคือการเตรียมความพร้อมในอีกครึ่ง หรือในส่วนของใจที่แกว่งโลภ แกว่งโกรธ เย็นร้อนแรงขึ้นไม่แพ้กัน
อุณหภูมิภายนอกแปรสวิงขึ้นตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแต่อุณหภูมิภายในสวิงแรงขึ้นตามความเร็วของใจที่ได้รับผลมาจากความเร็วของการสื่อสาร
ยิ่งอินเทอร์เน็ตเร็วเพียงไหน ใจคนยิ่งร้อนขึ้นเท่านั้น
สังเกตได้จากข่าวสารทุกวันนี้ที่คนมักโกรธกันแรง อะไรนิดอะไรหน่อยก็ถึงขั้นฆ่ากันตายได้แล้ว
หรือเรื่องโลภนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง คนมีแต่ความอยากได้ อยากมีอยากเป็น ยอมทำทุกอย่าง ทุจริต คอร์รัปชัน ฉ้อโกง หรือขายเนื้อขายตัวเพื่อแลกมากับการได้เงินไปซื้อของสนองความโลภของตัว
ดังนั้น เราต้องป้องกันใจเราไม่ให้หลุดเข้าไปติดกับดักความเร็วนี้ จนกลายเป็นคนใจร้อน อดทนรออะไรไม่ได้ มุ่งแต่จะรับผลที่คาดหวังให้เร็วที่สุดโดยไม่ใส่ใจถึงวิธีการที่ได้มา หรือไม่แคร์กับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความด่วนได้นั้น
แล้วจะทำอย่างไร ?
ครึ่งของกายเราใช้ธรรมชาติ ปลูกต้นไม้เพิ่ม รักษาสายน้ำ ลำธารให้สะอาดร่มเย็น เพิ่มพื้นที่สีเขียวในชุมชน
ครึ่งของใจเราก็ใช้ธรรมะ ปลูกสติ เติมเมตตา เพิ่มพื้นที่สีขาวในใจเรา
สติ เปรียบดั่งต้นไม้ที่หยั่งรากลึกแข็งแกร่งทำให้ใจเรามั่นคง ดั่งมีที่คุ้มภัยไม่ให้ไหลไปตามกระแสแห่งกิเลสที่พร้อมจะพัดพาเราไปสู่ความพินาศ
ขณะที่เมตตาก็ดั่งนํ้าที่สะอาด สดชื่น นำมาซึ่งความเย็น บรรเทาไอร้อนแห่งไฟอกุศลทั้งปวงลงไปได้
พื้นที่สีขาวที่เราสร้างนี้จะมีประโยชน์ไม่ใช่แต่เราเท่านั้น ยังมีประโยชน์ต่อเพื่อนร่วมสังคมเราอีกมากที่จะเข้ามาเกาะยึดต้นไม้แห่งสติให้มั่นคง ที่จะมาชะโลมนํ้าเย็นแห่งเมตตาให้อภิรมย์
ถ้าเราปลูกต้นสติของเราจนรากหยั่งลึกไปในดินแห่งชีวิตได้แล้ว ผนวกกับสร้างระบบนิเวศรอบข้างให้เต็มไปด้วยนํ้าสะอาด ชุ่มชื้น สัตว์น้อยใหญ่ย่อมมาพึ่งพิงไม้ยืนต้น ไม้ล้มลุก หรือไม้เลื้อยย่อมมาอาศัยเติบใหญ่จนกลายเป็นโอเอซิสที่ใฝ่ฝัน
ลองจินตนาการดูว่า เราจะรู้สึกดีกับตัวเองเพียงไหนหากรอบข้างตัวเราเต็มไปด้วยลูกหลานเพื่อนฝูงที่เข้ามาชิดใกล้ เพราะรู้สึกได้ถึงพลังแห่งความเมตตาในเรา สัมผัสได้ถึงความมั่นคงจากรากหยั่งของสติที่เราเพียรสร้าง ถึงจุดที่ลำพัง เพียงการมีชีวิตอยู่เฉย ๆ ของเราก็เปี่ยมคุณค่าแก่โลกแล้ว ถึงจุดนั้นก็คิดดูเองว่าเราจะภาคภูมิใจในตัวเองเพียงใด
ลองดูครับ เมื่อใดที่เราปรับภูมิใจภายในจนได้แบบนี้ ภูมิอากาศภายนอกจะสวิง เหวี่ยง ตีกลับแรงเพียงไหนก็ทำอะไรเราไม่ได้
ปีใหม่นี้มาช่วยกันปลูกต้นไม้ รักษาลำนํ้า พร้อมทั้งเจริญสติแล้วแผ่เมตตากันเป็นของขวัญปีใหม่ให้ตัวเองและเพื่อนของเรากัน มาสร้างพื้นที่สีเขียวเชิงกายภาพรอบบ้าน มาสร้างพื้นที่สีขาวเชิงจิตภาพรอบใจกันนะครับ
ที่มา: อินทาเนีย ฉบับที่ 4 ปี พ.ศ. 2563 คอลัมน์ ข้อคิดจากนิสิตเก่า โดย ผศ. ดร.วีรณัฐ โรจนประภา วศ.28