ช่วงต้นปีปลายเดือนกุมภาพันธ์ มีวันหยุดยาว 3 วันติดกันช่วงวันมาฆบูชาได้มีโอกาสไปเที่ยวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีความยาวที่สุดของประเทศไทย
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ถือว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมของคนทั่วไปจำนวนหลายแห่ง เช่น หัวหิน ปราณบุรี สามร้อยยอด อ่าวมะนาว บ้านกรูด และที่อื่น ๆ อีกมากมาย แต่จุดหมายหลักที่อยากจะไปเที่ยว สำหรับทริปนี้คือเกาะทะลุ ชื่อนี้อาจจะไม่คุ้นสำหรับหลาย ๆ คน ตัวผู้เขียนเองก็เพิ่งไดยิ้นชื่อเกาะทะลุมาไมน่ านนี้ “เกาะทะลุ” ตั้งอยูที่อำเภอบางสะพาน ท่าเรือไปเกาะทะลุห่างจากกรุงเทพฯ เกือบ 400 กิโลเมตร และต้องนั่งเรือเร็วไปอีกประมาณ 30 นาที บนเกาะทะลุมีที่พักเพียงแห่งเดียว และเป็นรีสอร์ตเอกชน การจองต้องจองล่วงหน้ากับรีสอร์ต ซึ่งจะเป็นแพ็กเกจ รวมค่าเรือไป-กลับ ค่าที่พัก ค่าอาหาร-เครื่องดื่ม และกิจกรรมภายในเกาะ เช่น ดำน้ำ ตกหมึก พายเรือคายัก และอื่น ๆ รวมอยู่ด้วย
การเดินทางจากกรุงเทพฯ ผู้เขียนเลือกที่จะออกเดินทางในตอนเย็นหลังเลิกงานเพื่อที่จะไปพักที่หัวหินก่อน 1 คืน และออกเดินทางไปท่าเรือเกาะทะลุในเช้าวันถัดไป เพื่อที่จะไม่ให้เป็นการเดินทางที่ต้องเร่งรีบเกินไปเพื่อไปให้ถึงรอบเรือช่วงบ่าย 3 ที่ได้จองไว้ เช้าวันถัดมาออกจากหัวหินช่วงสาย ๆ ขับรถไปตามถนนเพชรเกษม และระหว่างทางขาไปก็ได้แวะเที่ยวชมบึงบัวสามร้อยยอด ซึ่งช่วงเวลาที่ไปไม่ใช่ช่วงที่มีดอกบัวเต็มบึงแต่ก็ยังพอมีดอกบัวให้เห็น เพื่อให้ถ่ายภาพเก็บมาเป็นที่ระลึกบ้าง
ออกจากบึงบัวสามร้อยยอดก็เกือบ 11 โมงเช้า เดินทางเพื่อไปอำเภอบางสะพาน โดยที่ไม่ได้แวะที่ไหนอีก ยกเว้นพักทานอาหารกลางวัน ซึ่งกว่าจะถึงท่าเรือเกาะทะลุ อำเภอบางสะพาน ก็ประมาณ 14.00 น. ติดต่อเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ตและชำระค่าบริการต่าง ๆ และรอลงเรือเร็วเพื่อไปเกาะทะลุ
ถึงเกาะทะลุประมาณ 16.00 น. แล้วเช็กอินเก็บกระเป๋าเข้าที่พัก และเดินเล่นในเกาะ ซึ่งมีหาดทรายให้เดินเล่น ชมทิวทัศน์ เพื่อรอเวลาออกไปตกหมึกตอนเวลา 17.00 น. การตกหมึกทางรีสอร์ตจะลากแพออกจากฝั่งไปประมาณ 500 เมตร เพื่อให้อยู่ในจุดที่มีร่องนํ้าที่หมึกอาศัยอยู่ ใช้เวลากับการตกหมึกจนอาทิตย์ลับขอบฟ้าก็กลับเข้าฝั่งเพื่อรับประทานอาหารและพักผ่อนต่อไป ก็เป็นอันจบสำหรับวันนี้
เช้าวันถัดมามีโปรแกรมของที่พัก คือ ออกไปดำ นํ้าตื้นดูปะการัง หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จก็ไปรอลงเรือที่ท่าเรือหน้ารีสอร์ตเวลา 9 โมงเช้าก่อนที่จะเริ่มต้นดำนํ้า เรือขับพาไปดูวิวทิวทัศน์รอบ ๆ เกาะ ไฮไลต์ของการชมวิวคือการพาไปดูจุดที่มีช่องทะลุของเกาะ มองเห็นจากฟากนี้ไปอีกฟากได้ ซึ่งตรงนี้เองน่าจะเป็นที่มาของชื่อเกาะทะลุ ตามรูป
ดำนํ้าเสร็จราว ๆ เที่ยงและกลับมารับประทานอาหารเที่ยงและเก็บของเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับเข้าฝั่งในรอบบ่ายเพื่อเดินทางกลับไปพักอีก 1 คืนที่ตัวเมืองประจวบคีรีขันธ์ ระหว่างทางกลับได้แวะพักชมวิวชายหาดทรายยาวที่เงียบสงบที่มีผู้คนน้อยมาก ผู้เขียนคิดว่าน่าจะเป็นช่วงโควิด ทำให้แหล่งท่องเที่ยวค่อนข้างเงียบเหงา
เดินทางถึงประจวบคีรีขันธ์ประมาณ 5 โมงเย็น ที่มาแวะพักที่นี่เพราะตั้งใจจะมาปีนเขาล้อมหมวกในเช้าวันถัดไป แต่โชคไม่มีเช่นเคยเพราะเขาไม่เปิด เพราะโควิดทำให้ปิดโดยไม่มีกำหนดเปิดให้นักท่องเที่ยวปีนได้เมื่อไร ตัวเมืองประจวบคีรีขันธ์ทอดยาวไปตามหาดทราย และมีถนนเลียบหาด มีร้านอาหารทะเลแนว Street Food เรียงรายให้เลือกรับประทานเป็นจำนวนมาก เรื่องรสชาตินับว่าสด อร่อยและราคาไม่แพง เนื่องจากมีอุตสาหกรรมประมงอยู่ในตัวจังหวัด ทำให้ได้วัตถุดิบที่ดีในการนำมาประกอบอาหาร
ออกจากประจวบคีรีขันธ์ก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายสุดท้ายของทริปนี้คือถํ้าพระยานคร ซึ่งตั้งอยู่ในอุทยานสามร้อยยอด ถํ้าแห่งนี้ถูกค้นพบโดยเจ้าพระยานครศรีธรรมราช ซึ่งในอดีตขบวนเดินทางของท่านที่มุ่งหน้าสู่กรุงรัตนโกสินทร์เคยมาแวะพักแรมแถวนี้แล้วได้สำรวจพบถํ้าบนเขา จึงให้ชื่อว่า “ถํ้าพระยานคร” ถํ้านี้เคยมาครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2551 ผ่านมา 13 ปี ก็ได้มาเยือนอีกครั้งหนึ่ง การเดินเข้าถํ้าจากจุดเริ่มต้น เดินเรื่อย ๆ พักบ้างเป็นระยะ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ความสวยงามภายในถํ้าก็ยังคงเหมือนเดิม ใช้เวลาเดินชมความสวยงามอยู่ประมาณ 30 นาที ก็ลงจากถํ้า และเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร ก็เป็นอันจบทริปประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ไปทริปเดียวได้ทั้งเที่ยวเกาะ ดำนํ้า เดินเล่นชายหาดกินอาหารทะเล และเที่ยวถํ้า
ที่มา: อินทาเนีย ฉบับที่ 3 ปี พ.ศ. 2564 คอลัมน์ เที่ยวกับอินทาเนีย (Journey & Yummy) โดย เสวี ใจซื่อตรง วศ.35