ประเทศเล็ก ๆอย่างสิงคโปร์ มีพื้นที่ประมาณ 697 ตารางเมตร เท่า ๆ กับเกาะภูเก็ตของเรา สิงคโปร์ประกอบด้วย 1 เกาะใหญ่ (คือเกาะสิงคโปร์) และเกาะเล็ก ๆ อีกมากกว่า 60 เกาะ สิงคโปร์มีประชากร 5,469,700 คน ความหนาแน่นเป็นอันดับ 2 รองจากโมร็อกโกคือ 7,615 คนต่อตารางกิโลเมตร หากอยากจะไปเที่ยวให้ทั่วเมือง ต้องใช้รถไฟฟ้ายานพาหนะยอดนิยมซึ่งมีเพียง 5 สาย MRT กับ 3 ลูปสั้น ๆ ของ LRT แต่ MRT ที่วิ่งผ่านแลนด์มาร์ก สถานที่ไฮไลต์สำคัญ มีเพียงแค่ 3 สาย บางจุดต้องเดินลัดเลาะสำรวจไปเรื่อย ๆ จะได้สัมผัสวิถีชีวิตสิงคโปร์อย่างแท้จริง
3 เส้นทางเดินผสมกับการนั่งรถไฟที่ว่านี้คือ
- เขตเมืองเก่า (Old Town Walk) >ย่านคนจีน > ย่านคนแขก >วัดพระเขี้ยวแก้ว >วัดแขก
- พรอมานาดริมทะเล (River Walk) Clark Quay > สะพาน Coleman + Elgin + Cavenagh + Anderson > รัฐสภา > Merlion > Esplanade และ สะพาน DNA (Helix Bridge)
- Marina Bay Sands > Gardens by the Bay > Marina Barrage > Flower Dome และ Art Science Museum
ประเมินใช้เวลาเส้นทางละ 1 วันเต็ม ๆ ดูเหมาะเจาะพอดิบพอดี ยกเว้นสายที่ 2 อาจไปแค่ค่อนวัน บ่ายแก่ๆ ก็น่าจะจบ แล้วไปนั่งดื่มกาแฟ จิบไวน์ เบียร์ รับลมรอดูพระอาทิตย์ตกทะเล แนะนำว่าควรไปอยู่ฝั่ง Merlion นะครับ จะได้มองเห็น อาคาร Marina Bay Sands ประกบคู่กับดวงอาทิตย์ แสงอ่อน ๆ แต่ถ้าหากโชคไม่เจอฝนเนื่องจากที่นี่มีโอกาสเจอฝนตกสูงมาก ต้องดูพยากรณ์อากาศล่วงหน้า และหาตารางเวลาชดเชยให้ลงตัวกับโปรแกรมที่ปรับเปลี่ยน
อากาศร้อนพอ ๆ กับกรุงเทพฯ ของเรา 30-35 องศาเซลเซียส ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ได้ร้อนสาหัสสากรรจ์เท่าไรนัก แม้ในเดือนมีนาคม เมษายนก็ยังรู้สึกสบายดี เพราะการออกแบบภูมิทัศน์กับผังเมือง เน้นใช้ร่มเงาจากต้นไม้และตัวอาคารบดบังแสงแดดได้ดี ในช่วงบ่าย ๆ มีลมทะเลพัดถ่ายเทตลอดเวลา ทำให้เราสามารถเดินหน้า 5 เกียร์ได้ตลอดทั้งวัน
นอกจากนั้นก็เป็นย่านช้อปปิ้ง ถนนออร์ชาร์ด กลายเป็นอดีตสวรรค์ไปแล้วล่ะ ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันอัตราภาษีและแฟชั่นเทรนด์ ที่กรุงเทพฯ ไม่เสียเปรียบสิงคโปร์และฮ่องกงมากนัก เลยทำให้คนไทยเราไม่นิยมไปเตร่ช้อปปิ้งนอกประเทศกันแล้ว มีแต่ไปกิน ๆ คุย ๆ แอ็กติ้งริมอ่าว แล้วก็แชร์
สำหรับตั๋วรถไฟฟ้า ไม่ควรซื้อแบบเหมาจ่าย 1 วัน 2 วัน เพราะมีกติกาเขี้ยวลากดินตามสไตล์สิงคโปร์เรียนที่ไม่ยอมเสียเปรียบใครง่าย ๆ สมราคาสมญานามว่า “Fine City” (นครแห่งค่าปรับ) ตั๋วจะมีค่ามัดจำ 10 เหรียญ แล้วจะคืนให้เมื่อครบ 5 วันหลังการใช้วันแรก ใครจะไปรอรับล่ะ คนไทยไปเที่ยวบ้านลื้อก็แค่ 3-4 วัน อาเจ๊กแกกะจะยึดมัดจำคนที่อ่อนแน่ ๆ ถ้าจะเอาสะดวก ๆ ก็ใช้บัตรเติมเงินเดิมของเพื่อนๆ หรือญาติที่มีอยู่แล้วดีกว่า เพราะซื้อบัตรเติมเงินใหม่ก็ต้องมีค่าออกบัตรอีก งั้นก็ซื้อตั๋วเที่ยวเดียวสะดวกสุด ๆ แล้ว เตรียมแลกเหรียญดอลลาร์สิงคโปร์ให้ดี ๆ แบงค์ก็ใช้ได้ 5 และ 10 ดอลลาร์ไปหน้าเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติเถอะ กดง่ายและเร็ว ภาษาอังกฤษอ่านเข้าใจง่าย ๆ ลงไปชานชาลาก็จำชื่อสถานีปลายทางที่เราจะไปให้แม่น ๆ ไม่ตกขบวนหรอก ราคาตั๋วสิงคโปร์จะไม่มีตั๋วผู้สูงอายุสำหรับคนต่างชาติ เพราะฉะนั้นอย่าไปถามเลยให้เสียเวลา
ออกไปเดินเที่ยวกันดีกว่าครับ
ผมชอบเส้นทางที่ 2 มาก เริ่มจากตอนเช้า หลังไปนั่งซดแทะกระดูกหมูชิ้นโตบะกุ๊ดเต๋แสนอร่อยที่ Clark Quay แล้วก็ออกเดินทอดน่องเลียบ Riverfront 2-3ชั่วโมง จาก ใกล้ ๆ ท่าเรือ Eu Tong Sen ไล่ไปจนจบที่หน้าโรงแรม Fullertonใกล้สถานีไฟฟ้า Rafle Place ตลอดเส้นทางจะเห็นคนจ๊อกกิ้งไปตามริมน้ำไม่ว่าเช้าเที่ยง บ่าย เย็นค่ำ สลับกับคนเดินเล่น เป็นภาพคนออกกำลังกายนอกสวนสาธารณะ นี่แหละ City run ของแท้ครับ ดูสบายๆปลอดภัย เพราะฟุตบาททางเท้า ลานหน้าตึก ทางเดินริมอ่าวมีขนาดกว้างขวาง แม้มีคนเดินไปมาขวักไขว่ก็ตาม เห็นแล้วคันเท้าคันปอดจริงๆ
เส้นทางนี้จะเห็นจุดไฮไลต์ของสิงคโปร์มากมาย มีทั้งรูปปั้นสิงโตพ่นน้ำ อาคารตึกสูงเก่าใหม่และสะพานหลายแห่ง มี 2 แห่ง ที่ผมชื่นชอบมาก ๆ ในฐานะวิศวกรโครงสร้าง และเชื่อว่าใคร ๆ ที่เห็นจะต้องอยากได้สะพานแบบนี้มาเป็นแบ็คกราวนด์ในเฟรมของเรา นั่นคือสะพาน Cavanagh และสะพาน Helix สะพานแรกทรงโบราณ ดูคลาสสิกแข็งแรงแต่ชิ้นส่วนตกแต่งอ่อนช้อย มีโค้ง มีลวดลาย ส่วนสะพานหลังเป็นสื่อสัญลักษณ์รูปโครงสร้าง DNA มองแล้วทันสมัยแฝงทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะ นักท่องเที่ยวมักอ่านเจอในหนังสือและนิยมเรียกขานกันว่าสะพาน DNA
ช่วงสาย ๆ ก่อนเที่ยง ควรแวะไปดูน้ำพุแห่งความมั่งคั่ง (Fountain of Wealth) ที่อยู่ใจกลางห้างสรรพสินค้าใต้ดินที่ใหญ่ที่สินในสิงโปร์ชื่อ Suntec City โผล่ขึ้นจากใต้ดินกลางสี่แยกถนนเลยรอบวงเวียนนั้นมีตึกของ Suntec City อยู่ 5 อาคาร เรียงล้อมน้ำพุเป็นอาณาจักรของ Suntec เค้าล่ะ ไม่รู้ขออนุญาตทำทางเชื่อมแล้วมีน้ำพุโผล่พื้นออกมากลางแยก ซึ่งที่ดินควรจะเป็นของรัฐ ไม่ทราบผ่อนปรนขอสร้างกันได้ไง ดูดีมีสกุลมีคุณค่า ใช้งานได้ประโยชน์มาก
เราสามารถข้ามถนนไปถ่ายรูปที่วงเวียนน้ำพุ แล้วเดินลงไปชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าได้ เก๋มากครับออกแบบสวยงาม ไม่เชยไม่ล้าสมัย ใช้พื้นที่คุ้มค่าทุกตารางนิ้ว มีความหมายสื่อถึงความเชื่อถือของคนตะวันออก อ่านเจอคำแนะนำว่าให้เดินรอบฐาน 3 รอบ แล้วจะมั่งมีศรีสุข ใครอยากจะรวยแบบกลุ่ม Suntec City ก็ต้องนั่งไปลงสถานี Promenade แล้วเดินถามทางไม่ไกลครับประมาณ 300 เมตร ถ่ายรูปเสร็จกินข้าว โจ๊ก กาแฟ ก๋วยเตี๋ยว รอบ ๆ ฐานน้ำพุนั่นเลย บริเวณตรงนั้น (ข้างใต้วงเวียนบนถนน) ก็คือฟู้ดคอร์ตติดแอร์สะอาดสะอ้าน มีโต๊ะเก้าอี้ ห้องน้ำให้บริการอย่างสบาย
พาไปเที่ยวหนำใจแล้ว ก็ต้องไปหาอาหารอร่อยของสิงคโปร์เค้าชิม ถ้าเป็นของคาว 2 จานแรกที่ทุกคนนึกถึง หนีไม่พ้น ข้าวมันไก่และบักกุตเต๋ ทั้งที่สิงคโปร์ไม่ใช่แหล่งกำเนิด ไม่ได้เป็นต้นตำรับเลยทั้ง 2 เมนู ข้าวมันไก่เป็นอาหารพื้นเมืองของชนชาวจีนไหหลำที่ถูกเล่าขานต่อ ๆ กันมา
แม้แต่ในครอบครัวผมเองก็ได้ยินจากเด (พ่อ) ตัวเองและพ่อตาหรือผู้ใหญ่รุ่นปู่รุ่นตา ว่าไก่พันธุ์บุนเซียวที่เลี้ยงกันในหมู่บ้านชนบทบนเกาะไหหลำ เนื้อแน่นเยอะ ไขมันน้อยแต่นุ่ม นิยมเลี้ยงแบบปล่อยในทุกครัวเรือน ช่วง พ.ศ. 2556 ไปเที่ยวบ้านเกิดของเดที่หมู่บ้านยางด้วย จังหวัดกิมตั่วซี่ มณฑลไหหนาน (เกาะไหหลำ) ก็เห็นทุกบ้านเลี้ยงไว้เพื่อกิน และเข้าใจว่าน่าจะเป็นพันธุ์เดียวที่นำเลี้ยงกันใน อ.เบตง จ.ยะลา จนเป็นที่นิยมเมื่อนำมาปรุงเป็นไก่เบตง เช่นกัน
สิงคโปร์ได้รับอิทธิพลความนิยมข้าวมันไก่ จากอาหารหลักในหมู่ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน ซึ่งตัดแปลงประยุกต์ข้าวมันไก่ไหหลำคล้าย ๆ ของคนไทย มีให้เลือกทั้งไก่นึ่ง ไก่ย่าง ไก่ปิ้ง ในมาเลเซียโดยเฉพาะที่รัฐมะละกา จะเสิร์ฟข้าวมาเป็นลูกกลม หรือที่รู้จักกันในชื่อ Chicken Rice Ball แทนที่จะเสิร์ฟข้าวมาในถ้วยต่างหาก เสิร์ฟข้าวเป็นลูกกลมขนาดลูกกอล์ฟทานคู่กับไก่นึ่ง ส่วนในรัฐอิโปห์จะเป็นข้าวมันไก่แบบกวางตุ้ง โดยเป็นข้าวสวยธรรมดาไม่ใช่ข้าวมัน ทานคู่กับถั่วงอกลวก สิงคโปร์ก็คล้ายๆมาเลเซีย แต่เน้นที่ไก่นึ่งมากกว่า ข้าวสวยหุงเคี่ยวกับมันไก่ หุงข้าวเมล็ดสวย ไม่แฉะ ไก่จะสับเป็นชิ้นหนาโต ขนาดใหญ่พอคำ ไม่แบนบาง เล็ก ๆ จนเรียกว่าเศษไก่แบบบ้านเรา เนื้อไก่ต้ม ชุ่มอิ่มไปด้วยน้ำซ๊อสเหมือนกลิ่นงา เนื้อไก่จะไม่แห้ง ส่วนน้ำจิ้มของข้าวมันไก่สิงคโปร์’ มีด้วยกัน 3 ส่วนผสมคือ ซีอิ๊วดำหวานปรุงรส ขิงบด และ พริกน้ำส้ม ที่นี่จะไม่มีเต้าเจี้ยวผสมน้ำจิ้มเลย
หากจะไปกินข้าวมันไก่ของสิงคโปร์ แนะนำไปร้านบุนตงกี่ (Boon Thong Kee) ที่ถือเป็นร้านเด่นดังคู่บ้านคู่เมือง มีหลายสาขา คุณภาพคงเส้นคงวา มาตรฐานเป๊ะตามแบบฉบับคนสิงคโปร์ ถ้าไปมาสะดวก ใกล้สถานีรถไฟฟ้า ไม่ต้องต่อรถเมล์ รถแท็กซี่ให้ไปที่สาขานี้ สาขา Bukit Timah อยู่ที่ เลขที่ 18 Cheong Chin Nam นั่งรถไฟฟ้า MRT ลงสถานี Beauty World เดินออกประตู B เดินไป ไม่เกิน 100 เมตรผ่านร้านอาหารเรียงราย ทั้งร้านสเต๊ก ร้านอาหารอินเดีย ร้านอาหารไทย ร้านอาหารมาเลเซีย มองหาเลขที่ 18 มีทั้งห้องแอร์และพื้นที่เปิดโล่ง หน้าร้านสะอาดสะอ้านดูดี เสิร์ฟแบบจานเดี่ยว หรืออาหารจานแยกก็ได้
แต่ไหน ๆ มาถึงถิ่นเค้าแล้ว จะกินข้าวมันไก่อย่างเดียวได้ไง เขามีของอร่อยหลายเมนู ถ้าไปกันหลายคน แนะนำให้สั่งกับเป็นจานแยก ไก่สับ ไก่ย่าง เคาหยก (หมูสามชั้นนึ่งกับผักดอง) ที่นิยมทานคู่กับแตงกวา แครอตดอง อีกจานก็เป็นเนื้อปลาชุบแป้งทอดผัดขึ้นฉ่าย และที่ขาดไม่ได้ก็คือข้าวมันครับ ในความเห็นส่วนตัว ข้าวมันไก่เขาอร่อยกว่าเรา เพราะไก่นุ่ม หั่นสับชิ้นหนา กินได้เต็มปากเต็มคำ ข้าวสวยหุงเป็นตัว น้ำจิ้ม แม้จะไม่มีขิง ไม่มีพริกกระเทียมก็จริง ถึงจะไม่แซ่บแบบคุ้นลิ้น แต่เหยาะน้ำส้มพริกดำ พริกชี้ฟ้าดอง และซีอิ๊วดำ เข้ากันดีกับไก่ชุ่มน้ำครับ ราคาจะสูงเมื่อเทียบกับบ้านเรา เฉลี่ยออกมาก็ประมาณคนละ 200 กว่าบาท แต่คุ้มค่าในเชิง คุณภาพ และปริมาณ
ส่วนบักกุตเต๋เป็นซุปของชาวจีนในมาเลเซีย คิดปรุงแต่งใส่เครื่องยาจีน ตุ๋นกระดูกหมู และใส่ชิ้นเนื้อหมูสด เครื่องใน ซดพุ้ยกินกับข้าวสวย คล้าย ๆ ต้มจืดในบ้านเรา บักกุตเต๋ (Bak Kut Teh) เมื่อเขียนเป็นตัวอักษรจีน จะแปลตรงตัวได้ว่า ‘ชากระดูกเนื้อ’ โดยสูตรแต้จิ๋วสูตรนี้ประกอบด้วยซุปใสหอมกลิ่นพริกไทย รสชาติเข้มข้นของน้ำซุปได้มาจากการตุ๋นกระดูกหมู หนังหมู และ ‘ตีนไก่’ เป็นเวลานาน ๆ ร่วมกับพริกไทยขาวและกระเทียม เรียกว่า ‘หนัก’ กระเทียมเลยทีเดียว นอกจากรสชาติและกลิ่นหอมแล้ว น้ำซุปนี้จึงยังทรงคุณค่าด้วย ‘คอลลาเจน’ บำรุงผิวพรรณอีกด้วย (เขียนตามคำบอกเล่าของผู้รู้ โปรดใช้วิจารณญาณกันเองนะครับ )
อีกร้านที่ต้องไปกินเมื่อไปสิงคโปร์ ก็คือร้าน Song Fa Bak Kut Teh ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ ค.ศ. 1969 มีทั้งหมด 7 สาขา สาขาที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวไทยนั่ง MRT ไปลงที่สถานี Clark Quay ง่ายมากและสะดวกจริง ๆ ตื่นสายนิด 8 โมง ไปถึงก็มีโต๊ะอยู่ใกล้ ๆ บันไดขึ้นลงสะพานลอยเพียงแค่เดินข้ามสะพานลอยไปฝั่งตรงข้ามถนน จะมี Song Fa 2 ร้านใกล้ ๆ กัน ร้านแกเป็นห้องแถว 2 ห้องติดกัน ตกแต่งสวยงาม โอเพนแอร์ อยู่หัวมุมถนน New Bridge ตัดกับถนน Upper Circular เปิดตั้งแต่ 6-7 โมงเช้ายันค่ำมืด ร้านหลังถัดไปอีก 2-3 คูหา เปิดตั้งแต่ 11.00 น. เป็นต้นไป เป็นคูหาเดียว แต่งแบบคาเฟ่ หรูไปอีกนิด คิดว่านั่งร้านแรกดีกว่าครับ
เมนูเด็ดอันดับหนึ่งของ Song Fa Bak Kut Teh ก็คือ บักกุตเต๋รสชาติน้ำซุปกลมกล่อม ด้วยน้ำซุปกระดูกหมู พริกไทย รสชาติคล้ายต้มเลือดหมูบ้านเรา แนะนำว่าสั่งแบบดั้งเดิมคนละชาม จะมีกระดูกหมูชิ้นโต 2 ชิ้น น้ำซุปเติมได้ไม่อั้น จะซดโฮก 10-20 ทีจนหมดเกลี้ยงชาม เขาก็ไม่งอน ไม่อิดๆออดๆ เทเติมให้ตลอด
สั่งข้าวสวยคนละถ้วย แล้วสั่งเมนูเครื่องเคียง เช่น หมูสามชั้นตุ๋น ขาหมูพะโล้ ไส้หมูตุ๋น ผักดองและผัดผัก ทุกอย่างอร่อยมากครับ นั่งกินโต๊ะริมถนนหน้าร้านไปเลยบรรยากาศของร้านตกแต่งออกแนวโบราณเหมือนร้านกาแฟสมัยเก่า แต่ถนนในสิงคโปร์รถเค้าไม่เยอะ วิ่งไปวิ่งมาให้ความรู้สึกว่า Street Food ข้างถนน แต่ไม่มีฝุ่นไม่มีควัน ให้เราเสียมู้ดเสียโทนหม่ำข้าวเช้ากันเลย “อร่อยมาก ๆ” สำหรับร้านนี้คุ้มค่าทั้งราคา ปริมาณและรสชาติแถมได้กินอาหารพื้นๆ ที่คนท้องถิ่นเขากินกันทุกวันด้วย
ที่มา: อินทาเนีย ฉบับที่ 3 ปี พ.ศ. 2565 คอลัมน์ เที่ยวกับอินทาเนีย (Journey & Yummy) โดย สุวิทย์ เมฆวิบูลย์ วศ.17