ทฤษฎี หรือ Theory ที่เหมือนเรื่องไกลตัว แท้จริงแล้วใกล้ตัวเราอย่างยิ่ง เกือบทุกสิ่งที่เราเกี่ยวข้องล้วนต้องอาศัยทฤษฎีไม่ว่าเพื่อการนำไปใช้ผลิตสินค้าออกมาขาย เพื่อการออกแบบระบบบริหาร หรือแม้แต่เพื่อหาวิธีในการดูแลลูกหลานของเราเอง
หลายคนบอกไม่จริง ตั้งแต่เกิดมาจนจะตายอยู่แล้ว ยังไม่เห็นได้รู้จักเลยสักทฤษฎีใครที่รู้สึกเช่นนั้นก็ไม่แปลกครับ เพราะทฤษฎีเป็นเหมือนฉากหลังก่อนที่จะให้กำเนิดเป็นผลหรือเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์พืชฝังอยู่ใต้ดินที่มองไม่เห็น แต่เราก็ได้กินผลของมันจากต้นบนดิน
หากอยากจะพูดถึงชีวิตแบบปลอดทฤษฎีจริง ๆ ก็คงต้องย้อนอดีตไปตั้งแต่ก่อนจะมีหลักวิชาการ หรือก่อนจะมีนักวิชาเกินออกมามีบทบาทในสังคม ในยามที่บรรพบุรุษพวกท่านอยู่ และเติบโตมาได้โดยไม่ต้องอาศัยทฤษฎี
แต่การบอกว่าไม่มีทฤษฎีไม่ใช่หมายความว่า พวกท่านไม่มีความรู้นะครับ บรรพบุรุษเรามีความรู้มากมายมหาศาลเกินกว่าที่เราคิดไว้เยอะ ท่านเก็บผ้าที่ตากก่อนฝนจะตกได้โดยไม่ต้องพึ่งการพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา ท่านปลูกพืชผักเจริญสมบูรณ์ได้โดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยจากวิชาเคมี ท่านเดินเรือหาปลาได้โดยไม่ต้องพึ่งโชนาร์นำทาง
ความรู้เหล่านี้สะสมและถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ดำรงอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับความรู้นั้น ชุมชนชายทะเลก็มีภูมิรู้เรื่องประมงชุมชนชาวเขาก็มีความรู้เรื่องป่า ชุมชนชาวเมืองก็มีความรู้เรื่องค้าขายแต่มาเดี๋ยวนี้เรามีการจัดการความรู้ มีการรวบรวม ทดสอบ พัฒนาองค์ความรู้จนออกมาเป็นทฤษฎีให้ชนรุ่นหลังได้นำไปใช้ ฟังดูน่าจะดีแต่เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไม ทำไปทำมาดูเหมือนทฤษฎีทั้งหลายกลับไม่สามารถสู้กับภูมิปัญญาของผู้เฒ่าผู้แก่ได้ โดยเฉพาะในแง่การใช้งานจริง
นั่นเพราะวิชาการสมัยใหม่เป็นการเรียนแบบแยกส่วน ซึ่งอาจทำให้ดูมีสาระละเอียดลึกซึ้ง แต่เมื่อนำมาใช้ในชีวิตจริง ที่มีองค์ประกอบแวดล้อมอีกมาก ทฤษฎีนั้นจึงทำงานไม่สำเร็จ และหากนึกให้ดีอาจเห็นว่าต้นทางแห่ความล้มเหลวในการเรียนนั้น เริ่มกันมาตั้งแต่ “วัตถุประสงค์” และ “เป้าหมาย” ของการเรียนเลยทีเดียว
ถามว่าเราเรียนเพื่ออะไร “เรียนเพื่อรู้” หรือ “เรียนเพื่อใช้” คำตอบนั้นชัดเจนว่า เราย่อมต้องเรียนเพื่อนำไปใช้งาน แต่สิ่งที่ระบบการเรียนยุคนี้สอน กลับพาเด็ก ๆ ไปเรียนเพื่อ (สอบวัด) ความรู้ หรือเพื่อใบปริญญา ซึ่งไม่สามารถช่วยให้ผู้เรียนนำไปใช้งานจริงได้ เช่นนี้เด็กยิ่งเรียนยิ่งช่วยตัวเองไม่ได้ ยิ่งคิดไม่เป็น ยิ่งใช้ชีวิตไม่ถูก ขณะที่เป้าหมายของการเรียนยุคนี้ก็เป็นไปเพื่อการ “หาเงิน” มิใช่เรียนไปเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างประสบกับความสุขที่แท้
จะปฏิรูปการศึกษาต้องเริ่มที่จะกล้าเชื่อว่า ทฤษฎีจำนวนมากหรือเกือบทั้งหมดที่ผลิตหลักสูตรการ์ศึกษาเช่นนี้ขึ้นมานั้นยังไม่เหมาะสมนัก โดยเฉพาะทฤษฎีที่ว่า
“เงิน” = “ความสุข”
หากไม่กล้ารื้อฐานความรู้ ความเชื่อเดิมนี้ทิ้ง จะปฏิรูปการศึกษาอีกกี่รอบก็ช่วยไม่ได้ครับ แล้วถ้าไม่เอาการศึกษาแบบที่ใช้กันอยู่ จะเอาการศึกษาแบบไหน?
ก่อนตอบลองย้อนไปดูถึงที่มาของการศึกษาก่อนสักนิดดีไหมครับ
“ศึกษา” ที่เราเรียกกันจนชินหูนั้นรากเดิมมาจากคำว่า “สิกขา” หรือถ้าให้เต็มก็คือ
“สิกขา 3” อันประกอบด้วย สีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา หรือศีล สมาธิ ปัญญา ที่ชาวพุทธเราคุ้นเคยกันดีนั้นจะมีการะบุเป้าหมายอย่างชัดเจนเป็น 3 ระดับ คือการศึกษา
- เพื่อประโยชน์ปัจจุบัน เรียกว่า ทิฏฐธัมมิกัตถะ
- เพื่อประโยชน์ภายหน้า เรียกว่า สัมปรายิกัตถะ และ
- เพื่อประโยชน์อย่างยิ่งคือ นิพพาน อันเรียกว่า ปรมัตถะ
ส่วนเริ่มตันคือศีลหรือความเป็นปกตินั้นก็ยังมีการแยกที่ตัวผู้เรียนอีก 2 กลุ่มคือ อาคาริยะ คือศีลสำหรับผู้ที่ครองเรือน เช่น ศีล 5 กับอนาคาริยะ คือศีลสำหรับผู้ที่ไม่มีเรือน บรรพชิต ผู้บวช ลำดับต่อมาคือจิตตสิกขา คือสมาธิ คือการศึกษาอบรมจิตให้สงบจากอารมณ์อันเป็นที่ตั้งของสิ่งที่ปิดกั้นสมาธิ 5 ข้อ คือ
- กามฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในวัตถุที่น่ารัก น่าพอใจ
- พยาบาท ความไม่พอใจ โกรธแค้น มุ่งทำลาย
- ถิ่นมิทธะ ความง่วงงุน
- อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่าน รำคาญใจ
- วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
และขั้นสุดท้ายปัญญาสิขา คือการศึกษาให้รู้ถึงเหตุและผลตามความจริง ที่เรียกว่า สัมมัปปัญญา (ส่วนรู้ผิดเรียกว่า มิจฉาปัญญา นอกจกนี้ยังมีการแยกประเภทความรู้ออกเป็นอีก 3 ประเภทคือ ความรู้ที่เกิดจากการฟัง การอ่าน เรียกว่า สุตมัยปัญญา ความรู้ที่เกิดจกการคิด พิจารณา เรียกว่า จินตามัยปัญญา และความรู้ที่เกิดจากการเห็นแจ้ง เรียกว่า ภาวนามัยปัญญา
เห็นไหมครับว่าเมื่อย้อนไปดูแล้วจะพบว่าปราชญ์ของเราท่านแจกแจงไว้อย่างงดงามยิ่ง เริ่มตั้งความชัดเจนในการสิกขาว่า คือการนำไปใช้ ไม่ใช่เพื่อเกียรติบัตรใด ๆ ต่อด้วยการกำหนดระดับเป้าหมายคือประโยชน์ของการสิกขานั้นว่า ต้องการประโยชน์ในระดับใด จึงได้แนวทางที่เหมาะแก่กลุ่มผู้เรียนแต่ละกลุ่ม ที่จะเข้าสู่หลักสูตรที่ไล่ไปตั้งแต่พื้นฐานเตรียมความพร้อมเพื่อการเรียนรู้ ค่อย ๆ พัฒนาลำดับขั้นความรู้ไปจนถึงจุดสูงสุดซึ่งก็คือปัญญาที่รู้เห็นตามความเป็นจริง อันจะนำมาซึ่งความผาสุกของผู้ศึกษาอย่างแท้จริง
แต่ที่สำคัญคือการสิกขานี้ ไม่ได้มีผลลัพธ์เป็นเงิน ซึ่งตั้งอยู่บนทฤษฎีที่ผิดว่า เป็นเรื่องเดียวกันกับความสุข แต่ตัดตรงเข้าสู่เครื่องมือที่แท้ที่จะนำสุขมาให้ นั่นคือ “การวาง” “การละ” การไม่ยึดมั่น ถือมั่น
ศึกษาแล้วให้ได้เช่นนี้ ถึงจะได้ประโยชน์จริง
เป็นหลักสูตร เป็นวิชาที่เรียนแล้วนำไปปฏิวัติตัวเองได้จริง
ที่มา: อินทาเนีย ฉบับที่ 1 ปี พ.ศ. 2563 คอลัมน์ ข้อคิดจากนิสิตเก่า โดย ผศ. ดร.วีรณัฐ โรจนประภา วศ.28
ผศ. ดร.วีรณัฐ โรจนประภา : ผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตร MIT Sloan Executive Education Program ในหัวข้อ Blockchain Technologies: Business Innovation and Application ติดตามได้ที่ wmw.Kid-mai.com