โดย ดร.สหัส บัณฑิตกุล (วศ.2510)
อย่าเรียนอย่างเดียว ต้องเที่ยวด้วย ตอนที่ 4
เมื่อถึงจุดหนึ่งผมตัดสินใจลาออกจากการรถไฟฯ มาเริ่มนับหนึ่งใหม่ในโลกภายนอก โดยไม่เคยเอ่ยปากว่าจะออกมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว แม่เคยสอนไว้ว่า ในใจจะอย่างไรก็ตาม “เวลาจากที่ไหน ให้จากด้วยดี“ เพราะวันหนึ่งอาจต้องโคจรมาเจอกันอีกก็เป็นได้ ผมจึงใช้เหตุผลโดยวาจาว่า ผมกลับมาเริ่มทำงานจริงที่การรถไฟฯ “วันที่สิบเอ็ดเดือนสิบเอ็ดปีสองเอ็ด (จำง่าย)” ผมขอลาออก “วันที่สิบเอ็ดเดือนสิบเอ็ดปีสามเอ็ด“ รวม 10 เต็มวันชนวันพอดี (แต่อายุงานจริงมากกว่านั้น เพราะได้สิทธินับอายุงานตั้งแต่ไป) และเนื่องจากได้ทุนทางโน้นด้วย (ดังกล่าวมาแล้ว) ไม่ได้ใช้เงินทางนี้มาก บำเหน็จที่จะได้รับตอนออกจึงหักลบกลบล้างกับหนี้ทุนที่ต้องชดใช้ได้ประมาณพอดีกัน
ขอเล่าสักนิดเรื่องคิดคำนวณการใช้หนี้ เพื่อเป็นกรณีศึกษาวิเคราะห์กัน คือหลังจากนำเวลาและเงินมาคิดเทียบบัญญัติไตรยางค์ตามเงื่อนไขสัญญาได้จำนวนเงินที่ควรจะเป็นแล้ว รถไฟได้เอา 20 ไปหาร และ 26 ไปคูณ เป็นจำนวนท้ายสุดที่คิดกับผม ด้วยเหตุผลว่า ช่วงวันที่ไป 1 US$ เท่ากับ 20 บาท แต่วันที่ออกเท่ากับ 26 บาท ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงถามผู้เกี่ยวข้องว่า ถ้าตรงกันข้าม ช่วงวันที่ไปเท่ากับ 26 บาท แต่วันที่ออกเท่ากับ 20 บาท จะเอา 26 ไปหาร และ 20 ไปคูณไหม (เพื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติที่คงเส้นคงวาต่อไปในอนาคต เนื่องจากการหารแล้วคูณดังกล่าวนี้ไม่ได้มีระบุในสัญญา) คำตอบคือ “ไม่“ ภายหลังผมได้เล่าให้ผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่งฟัง ท่านบอกว่าน่าจะฟ้องร้องสู้หลังจากออกมาแล้วก็ได้ ผมเรียนท่านว่า ถ้าทำ ผมต้องฟ้องที่การรถไฟฯ แล้วไล่เบี้ยลงมา จะฟ้องตรงไม่ได้ แต่การรถไฟฯ มีบุญคุณกับผม จึงไม่คิดจะทำเช่นนั้น ได้รับคำชมจากท่านว่า ดีมากถ้าด้วยเหตุผลนี้
ผมออกไปผจญภัยหาสิ่งที่สนใจในโลกภายนอกอยู่ราวปีครึ่ง ทั้งภาควิชาการและภาคปฏิบัติในธุรกิจเอกชน ผมคงมีดวงเดินทางต่างประเทศติดตัวมาด้วย เพราะไปอยู่ที่ไหนก็มักต้องเดินทาง วันหนึ่งราวกลางปี พ.ศ. 2532 ต้องไปดูช่องทางการลงทุนที่พม่า แต่แล้วผมก็ไม่เคยได้กลับจากประเทศพม่าอีกเลย…(ผมเขียนไม่ผิด… และท่านก็อ่านไม่ผิด…) เพราะในช่วงวันที่อยู่ที่นั่น เขาเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นเมียนมาพอดี เลยต้องกลับจากประเทศเมียนมาแทน…
อย่างไรก็ตาม เมียนมายังเป็นประเทศที่ผมชอบไปเที่ยว มีต้นไม้ใหญ่หนาแน่นชุ่มฉ่ำ ลำธารห้วยหนองคลองบึงน้ำใส ดูสดชื่นสวยงาม อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติทั้งบนดินและใต้ดิน ผมเคยนั่งเฮลิคอปเตอร์ของทางการเมียนมาดูแนววางท่อก๊าซในเขตทวาย มองไปไกล ๆ ที่แนวป่าเขาดูเขียวขจี แต่มีแถบสีขาวยืนทอดตัวในแนวดิ่งคั่นเป็นระยะ เมื่อขอให้เฮลิคอปเตอร์ช่วยบินเข้าไปใกล้ขึ้นจึงเห็นได้ชัดว่าเป็นน้ำตกสูงใหญ่เรียงรายอยู่จำนวนนมากตลอดแนวเทือกเขา ทราบว่ายังเดินทางท่องเที่ยวเข้าไปดูทางบกได้ยาก
อย่างที่กล่าวแต่ต้นว่า เวลาไปไหนมักใช้ที่พักเพียงแค่อาบน้ำและนอน เมื่อมีวันหยุดหรือนอกเวลางานที่ไม่มีภาระรับผิดชอบในช่วงนั้นแล้วก็จะออกท่องเที่ยวเรียนรู้หาประสบการณ์ไปเรื่อย ผมไม่ชอบทานอาหารในโรงแรมเพราะแพง และที่ไหนก็เกือบจะเหมือน ๆ กัน จะไปเดินหาทานแบบที่ชาวบ้าน ๆ เขาไปทานกัน เช่น ตามแผงค้าต่าง ๆ ได้รสชาติดั้งเดิม และสัมผัสวัฒนธรรมของท้องถิ่นนั้น ๆ มากกว่า
ในช่วงเวลาที่ทำงานปิโตรเคมีผมต้องเดินทางไปอังกฤษบ่อยมาก บางช่วงแทบจะเดือนเว้นเดือน (ดังกล่าวมาแล้ว) เพราะมีงานร่วมกับทางปิโตรเคมี ICI ของอังกฤษ ก็จะใช้เวลาว่างนอกเวลางานและวันหยุดออกเที่ยวเพิ่มเติม (จากที่เคยเที่ยวสมัยไปเรียนแล้ว) สมัยนั้นยังเล่นกอล์ฟอยู่ ได้มีโอกาสไปตีกอล์ฟหลายแห่ง เช่น ที่สนามกอล์ฟ St Andrews-Old Course หลายครั้ง บางครั้งก็ลากถุงกอล์ฟเอง บางครั้งก็มีแคดดี้ ที่สำคัญต้องไม่ลืมเอาเอกสาร Golf Handicap เป็นทางการของเราติดตัวไปด้วย ทางสนามเข้มงวดเรื่องนี้มาก เห็นฝรั่งก๊วนก่อนผมบอกว่าลืมอยู่ในรถ เขาให้เดินกลับไปเอามาแสดง บางครั้งผมก็หาโอกาสไปเที่ยวตามเมืองที่ปรากฏในเพลงที่ชอบ เช่น เมืองชนบทที่ชื่อ Scarborough (เมืองชายฝั่งทะเล ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ Leeds) ในเพลงพื้นบ้าน Scarborough Fair โดย Simon & Garfunkel
มีโอกาสได้เล่นกอล์ฟที่สนาม St. Andrews – Old Course ใน Scotland หลายครั้ง บางครั้งก็ใช้แคดดี้ ถ้าไม่มีก็ลากหรือแบกถุงเอง สนามลมแรง เคยใช้บวก/ลบถึง 2 เหล็ก หลุมทรายค่อนข้างลึกและแคบ เรียก Pot Bunker แคดดี้ (คนสวมหมวกขาว) บอกว่าเขาเคยถือให้นักกอล์ฟอาชีพของไทย บุญชู เรืองกิจ (ขออนุญาตเอ่ยนาม) และชมว่าเล่นได้ดีมากในรอบคัดเลือก อีกคนในภาพที่ไม่สวมหมวกเป็นเพื่อนร่วมก๊วนชาวสก็อต
จากประสบการณ์เดินทาง ผมจะเตือนคนใกล้ชิดเสมอว่า อย่ารับฝากหรือถือของให้ใครที่สนามบิน ไม่แชร์น้ำหนักที่เหลือให้ใครที่มาขอฝากชั่งรวมด้วยเพราะเขาน้ำหนักเกิน เหมือนคนใจจืดใจดำ แต่ดีกว่าเกิดเหตุแล้วมาเสียใจภายหลัง เนื่องจากของเหล่านั้นจะปรากฏในชื่อของเราหากมีสิ่งผิดกฎหมายซุกซ่อนอยู่ ถ้าทำโดยเจตนาแล้วก็ยากที่เราจะตรวจพบเอง ที่ผมเจอขอฝากบ่อยคือสายการบินต้นทุนต่ำ ค่าโดยสารถูกต้องซื้อน้ำหนักเพิ่มแยกต่างหาก ผมจะซื้อเผื่อไว้เป็นประจำหากคิดว่าจะมีของกลับเพิ่ม และก็จะเจอเป็นประจำเช่นกันที่มีคนมาขอฝากแชร์เพราะเห็นเรายังมีน้ำหนักเหลือ ผมก็จะบอกว่าผมสั่งหลานไว้ไม่ให้รับฝากของใคร (ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง) อย่าให้ผมต้องทำเสียเองเลย กะว่าถ้าตื๊อมาก ๆ และเป็นคนที่เราเกรงใจก็จะบอกว่า ของคุณที่เกินเดี๋ยวผมจ่ายให้เอง ซื้อความสบายใจ (แต่ก็ยังไม่เคยเจอกรณีหลังนี้) อีกอย่างหนึ่งที่ผมทำเป็นประจำเนื่องจากเดินทางบ่อยก็คือ ถ่ายรูปกระเป๋าของเราขณะวางอยู่บนเครื่องชั่งตอน Check-in ให้ติดเจ้าหน้าที่สายการบินด้วย ใช้ยืนยันได้หลายอย่าง รวมทั้งในการอธิบายหน้าตารูปลักษณ์กระเป๋าหากไม่มาหรือชำรุดเสียหาย ซึ่งเคยประสบมาแล้วและใช้ได้ผลจริง ๆ

มีครั้งหนึ่งที่เดินทางไปอังกฤษ พอออกจากสนามบิน Heathrow ก็ขึ้นแท็กซี่ที่วิ่งมาจอดรับ พอก้าวขาขึ้นรถได้ขาหนึ่งก็มีชาย 3 คน เดินตรงเข้ามา คนหนึ่งมาที่ผม อีกคนไปที่คนขับ คนที่ 3 ไปคุมเชิงอยู่หน้ารถ พอแสดงตัวพร้อมบัตร (อย่างกับในหนังที่เคยดู) จึงรู้ว่าเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ ก็งงอยู่ว่าเราทำผิดหรือต้องสงสัยอะไร เขารีบบอกก่อนว่าไม่ต้องกังวล เขาจับคนขับแท็กซี่ที่เอาเปรียบคันอื่น ไม่ยอมไปเข้าคิว ส่วนเราไม่ผิดเพียงเพิ่งเดินทางมาถึงพอออกมาก็มีรถแท็กซี่มาจอดเทียบเองจึงขึ้นโดยไม่ได้โบกเรียก คนขับแท็กซี่รีบแก้ตัวกับตำรวจว่า เรานัดหมายให้มารับ (ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ถือว่าไม่ผิด) จริง ๆ ก็สงสารคนขับที่ดูจะอายุมากแล้วด้วย แต่ถ้าเออออไปหากตำรวจซักว่านัดอย่างไร เมื่อใด ที่ไหน ฯลฯ ก็ตอบไม่ได้ทั้งนั้น จึงปฏิเสธไป ตำรวจหันมาขอดูพาสปอร์ตก็ยื่นให้พร้อมเปิดหน้าวีซ่าให้ดู เขาบอกอย่างสุภาพมากว่า ขอแค่เลขที่หนังสือเดินทางเท่านั้น เผื่อขึ้นศาลแล้วคนขับปฏิเสธจะขอให้ช่วยไปเป็นพยานด้วย จะเห็นว่าเขาให้ความสำคัญเรื่องเช่นนี้มาก ถึงขนาดต้องขึ้นศาลเลย ตอนที่ตำรวจเปิดเป้เพื่อหยิบสมุดจด เห็นในนั้นมีอุปกรณ์เพียบ เช่น กุญแจมือ วิทยุสื่อสาร ฯลฯ วันกลับยังหวั่นว่าจะโดนขอให้อยู่ต่อไปเป็นพยานที่ศาลหรือเปล่า แต่ก็เรียบร้อยดี มีอีกหลายประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากการเดินทาง ที่น่านำมาถ่ายทอดเล่าสู่กันฟังเป็นประโยชน์ แต่ขอไว้โอกาสอันควรอื่นบ้างก็แล้วกัน
ถึงแม้จะได้ไปทำงานตามเมืองใหญ่ ๆ เช่น นิวยอร์ก ปารีส ลอนดอน เซี่ยงไฮ้ ฯลฯ และได้มีโอกาสเที่ยวชมเมือง ศึกษารูปแบบการเจรจากับคนแต่ละชาติแต่ละวัฒนธรรม ได้เรียนรู้ประสบการณ์หลากหลายก็ตาม แต่หากเป็นการเดินทางท่องเที่ยวเองเป็นส่วนตัวไม่ใช่ในงานแล้ว ผมชอบไปตามเมืองหรือพื้นที่ที่อยู่ห่างไกล ไปยาก ความเจริญยังไม่เข้าไปทำให้ธรรมชาติเปลี่ยนไปนัก เช่น สิกขิม (ซึ่งตอนนี้เป็นรัฐของอินเดีย), Kailash หรือเขาไกรลาสในทิเบต (ตามที่เราเคยเรียนหรือได้ยินมาถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เชื่อกันว่าเป็นที่สถิตแห่งเทพหลายองค์ เช่น พระศิวะ ไม่อนุญาตให้ปีนขึ้น ตีนเขาอยู่เหนือระดับน้ำทะเลราว 5,000 เมตร หรือประมาณ 2 เท่าของดอยอินทนนท์ อากาศเบาบางมาก เหลือให้หายใจแค่ราวครึ่งเดียวของบ้านเรา) มองโกเลีย ไซบีเรียและรถไฟสายนี้ เขาหวงซานของจีน (ที่เมื่ออยู่บนยอดเขาจะมองเห็นเมฆหนาทึบลอยอยู่ต่ำกว่าเรา มียอดเขาแหลมต่าง ๆ แทงทะลุเมฆขึ้นมาคล้ายเราอยู่บนสวรรค์) เคยได้ไปล่องเรือในแม่น้ำแยงซีจากเซี่ยงไฮ้เข้าไปถึงมณฑลเสฉวนกลางประเทศจีนสมัยที่ยังงไม่มีเขื่อนสามผากั้นขวาง สวยประทับใจมาก ผมนอนค้างในเรือหลายวัน ความรู้สึกต่างจากเมื่อไปล่องเรือตอนมีเขื่อนแล้วที่ของสำคัญเดิมบางอย่างหายไป เข้าใจว่าคงได้รับการอนุรักษ์ย้ายไปอยู่ที่อื่นมากกว่าจมอยู่ใต้น้ำ เช่น ศิลาจารึกแผ่นใหญ่ของขงเบ้งริมแม่น้ำแยงซีในเขตเสฉวน ฯลฯ

ตามที่ได้เล่าแต่ต้น เวลาเดินทางผมจะอยู่ในที่พักน้อยมาก เวลาว่างจะใช้ทัศนาจรไปเรื่อย ๆ ผมมีโอกาสได้เที่ยวประเทศสหราชอาณาจักรมากไม่แพ้สหรัฐอเมริกาที่ไปมาแทบจะทุกรัฐ รวมทั้งอลาสก้าและฮาวาย ในสมัยที่ไปเรียนและทำงาน แม้บางรัฐจะเพียงขับรถผ่านแวะทานอาหารและเติมน้ำมันก็ตาม
นอกจากนี้แล้วก็เคยท่องเที่ยวเรียนรู้หาประสบการณ์ด้วยการสะพายเป้เที่ยวคนเดียวที่ฝรั่งเศสเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย และสเปน ด้วยเช่นกัน จากที่ผ่านมาบางช่วงต้องเดินทางต่างประเทศบ่อยมากจนบางทีตื่นมาต้องค่อย ๆ นึกว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ได้ไปทั้งเมืองใหญ่ ๆ และชนบทห่างไกล เจอทั้งนักธุรกิจที่บางคนดูเหมือนทุกนาทีเร่งรัดมาก และชาวบ้านห่างไกลที่มีเวลาให้กับเราเต็มที่ เห็นวัฒนธรรมและได้ประสบการณ์สารพัดรูปแบบที่ไม่มีในห้องเรียน
ขอฝากข้อคิดเห็นไว้อีกครั้งว่า ไปอยู่ที่ใด เรียนหรือทำงานที่ไหน ก็ควรได้ท่องเที่ยวแต่ไม่ใช่ในที่อโคจร ให้รู้จักบ้านเมืองนั้น ๆ แต่ระวังอย่าเกินเลยจนเสียการเรียนหรือเสียงาน เรียนและงานต้องมาก่อน วันหนึ่งในอนาคตอาจได้นำประสบการณ์เหล่านั้นมาใช้ เช่น ในการออกสังคม การประกอบวิชาชีพ ฯลฯ ไม่ใช่เห็นเพียงขอบรั้วสถานที่เรียน หรือสถานที่ทำงานเท่านั้น หรืออาจกล่าวตามหัวข้อบทความนี้ได้ว่า “อย่าเรียนอย่างเดียว ต้องเที่ยวด้วย“
ผมได้รับเชิญไปช่วยที่อังกฤษบ่อยครั้งในด้านการศึกษา ไม่นับงานวิชาชีพวิศวกรรมโดยตรงที่ต้องไปทำอยู่แล้ว ซึ่งก็ได้นำพื้นฐานวิศวะและบริหารธุรกิจไปประยุกต์ใช้ร่วมกันด้วย เช่น ที่ Leeds University Business School (LUBS) ซึ่งมีทั้งไปบรรยายในชั้นเรียน คุยอาหารเย็น (Dinner Talk) ให้สัมภาษณ์แนวคิดลงหนังสือของมหาวิทยาลัย พูดคุยให้ข้อคิดและตอบคำถามนักศึกษาใน Executives in Residence Programme ช่วยตอบข้อซักถามของ EQUIS [European Foundation for Management Development (EFMD) Quality Improvement System] ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทรงอิทธิพลของยุโรปในการพิจารณาเพื่อรับรองสถานศึกษา (Accreditation) ด้านธุรกิจและการจัดการ อันจะมีผลต่อการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของแต่ละสถานศึกษาทางด้านนี้




มีครั้งหนึ่งที่ไปช่วยมหาวิทยาลัยที่อังกฤษ แล้วเผอิญเป็นช่วง London Olympics พอดี เลยถือโอกาสเที่ยวและเข้าชมการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นโดยเลือกวันที่มีนักมวยของไทยเราขึ้นชก

อยู่มาวันหนึ่ง ผมได้รับจดหมาย (ด้วยความประหลาดใจ) จากมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด (University of Oxford) ประเทศอังกฤษ เชิญเป็นกรรมการบอร์ดของ International Advisory Board for Executive Education ที่ Saïd Business School หรือ Oxford Business School ซึ่งก็ได้ตอบรับไป และช่วยเป็นอยู่ราว 2-3 ปี
เวลาไปประชุมที่มหาวิทยาลัย Oxford บางครั้งเขาให้เกียรติเลี้ยงอาหารค่ำเป็นกรณีพิเศษในห้องส่วนเก่าแก่่ของมหาวิทยาลัย ซึ่งปกติจะอนุรักษ์ไว้ไม่ใช้งาน เมื่อเทียบอายุแล้วจะอยู่ก่อนสมัยพ่อขุนรามคำแหง (ซึ่งทรงประดิษฐ์ลายสือไทย หรือตัวหนังสือไทยขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1826) ตามประวัติพบว่าการเรียนและการสอนที่นี่เริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1096 หรือ พ.ศ. 1639 บรรยากาศเหมือนในหนัง Harry Potter หรืออาจใช้ถ่ายหนังเรื่องนี้ด้วย มีความรู้สึกว่าถ้าให้ไปนั่งอยู่คนเดียวในห้องนั้นตอนค่ำ ๆ คงไม่เอา

สำหรับในเมืองไทยเองนั้น ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย (เอ.ไอ.ที.) ซึ่งปัจจุบันอยู่ติดกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต (ชื่อเดิมสมัยผมเข้าเรียนที่คณะวิศวฯ จุฬาฯ และตั้งอยู่ที่คณะฯ คือ SEATO Graduate School of Engineering) มีช่วงเวลาหนึ่งได้ตกอยู่ในภาวะวิกฤติ ทั้งด้านการเงินและการบริหาร ก็ได้ไปช่วยทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการบริหารสถาบัน ช่วยกันแก้ปัญหา โดยมี ศ. ดร.วรศักดิ์ กนกนุกุลชัย (ขออนุญาตเอ่ยนาม) เพื่อนที่เรียนวิศวฯ มารุ่นเดียวกันและทุ่มเทให้กับสถาบันนี้มาก ทำหน้าที่เป็นอธิการบดี ผมเป็นอยู่ประมาณ 7 ปี (โดยขอไม่รับเงินค่าจ้างหรือเบี้ยประชุมใด ๆ) เพิ่งพ้นหน้าที่เมื่อปีที่ผ่านมานี้ ( พ.ศ. 2563) ปัจจุบันได้ไปช่วยตามคำเชิญทำหน้าที่เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ

นอกจากนี้ก็ยังได้มีการประสานความร่วมมือช่วยเหลืองานกันกับมหาวิทยาลัยในประเทศอื่น ๆ เช่นอินเดีย อาทิที่ Jawaharlal Nehru Technological University เรื่องแปลกที่ขอเล่าสนุก ๆ ก็คือ ได้รับแจ้งว่าประเพณีต้อนรับที่นี่ระดับการให้เกียรติแปรตามขนาดของพวงมาลัยดอกไม้สดที่มอบให้ (ดังในภาพประกอบ) ปรากฏว่าหนักมาก คนยืนใกล้ ๆ ต้องแอบช่วยกันประคองรับน้ำหนักไว้ด้านหลัง

หลังจากที่เคยทำงานเป็นข้าราชการประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานและผู้บริหารของหน่วยงานทั้งภาคการศึกษาและภาคปฏิบัติวิชาชีพ ในด้านเทคนิควิศวกรรมและธุรกิจเอกชน รวมถึงงานในต่างประเทศมาแล้ว วันหนึ่งได้รับการชวนเชิญเป็นข้าราชการการเมือง ทั้งที่ไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคใดทั้งสิ้น เป็นการเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ โดยขอรวบรัดตัดตอน มาถึงวันหนึ่งที่ผมต้องไปรับตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรักษาการรัฐมนตรีต่างประเทศ
… อ่านต่อได้ตอนที่ 5 ตอนสุดท้ายของ “อย่าเรียนอย่างเดียว ต้องเที่ยวด้วย”…
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- อย่าเรียนอย่างเดียว ต้องเที่ยวด้วย ตอนที่ 1
- อย่าเรียนอย่างเดียว ต้องเที่ยวด้วย ตอนที่ 2
- อย่าเรียนอย่างเดียว ต้องเที่ยวด้วย ตอนที่ 3
- อย่าเรียนอย่างเดียว ต้องเที่ยวด้วย ตอนที่ 4
- อย่าเรียนอย่างเดียว ต้องเที่ยวด้วย ตอนที่ 5 (จบ)
- “ครบรอบ 46 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-จีน และ 30 ปีแห่งจีน-อาเซียน” โดย สหัส บัณฑิตกุล
- ที่สุดแห่งความประทับใจและความภูมิใจ
- ไปดูเขาทำเหมืองพลอยกันที่ศรีลังกา
- “อดีตคณบดีวิศวจุฬา ที่ผมได้เคยทำงานใกล้ชิด… ศ.พิเศษฯ, ศ.อรุณฯ, ศ.ชัยฯ”
- การสอนและสร้างวิศวกร: แนวคิดจากประสบการณ์ สู่แนวทางในอนาคต
- มารู้จักปรมาจารย์ท่านหนึ่งในสาขา Thermodynamics (วิชาปราบเซียนของเครื่องกล)